วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته

ภรรยาที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ รักอัลลอฮฺยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด มากกว่าใคร ใคร ในโลก มากกว่าบิดา มารดา มากกว่าสามี และลูกๆ ภรรยาที่รักท่านร่อซูล(ซ.ล) ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่าน เจริญรอยตามวิถีชีวิตของบรรดาอุมมะฮาต อัล-มุอฺมินีน "มารดาแห่งเหล่าศรัทธาชน" ภรรยาที่รักชีวิตครอบครัว มีความเป็นกุลสตรี ต้องการเป็นแม่บ้านที่ดี ด้วยเหตุที่เธอรู้ว่า.....นั่นคือการญิฮาดของเธอ ภรรยาที่ศึกษาอัล-กุรอาน และใช้ชีวิตไปตามครรลลองของอัลกุรอาน เพื่อที่เธอจะได้เป็นแม่บ้านที่ดี เป็นที่สุขตาสุขใจของฉัน ตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะฉันรู้ดีว่า อัลกุรอาน จะขัดเกลาให้เธอ เป็น หญิงที่ประเสริฐ เป็น ภรรยาที่น่ารัก เป็นแม่ที่รู้จักการเลี้ยงลูก เป็นผู้ผูกสายสัมพันธ์ของครอบครัว เธอรู้ไหม? ว่า....ท่านร่อซูล(ซ.ล) กล่าวถึงพวกเธอไว้อย่างไร



ท่านบอกว่า... "ดุนยาล้วนเต็มไปด้วยความสุขสันต์ แต่สุดยอดของความสุขสันต์บนโลกดุนยานี้คือ....ภรรยาที่ดี



ใช่แล้ว....ภรรยาที่ดี คือความใฝ่ฝันของชายผู้ศรัทธาทุกคน คือเจตจำนงของอัล-อิสลาม ภรรยาที่มอบสิทธิการเป็นผู้นำให้กับสามี เพื่อการจัดวางระบบครอบครัวให้มีระเบียบ มีผู้นำ มีผู้ตาม อัลลอฮฺ(ซ.บ) ทรงตรัสว่า: "บรรดาชายนั้นคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขา เหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไป จากทรัพย์สินของพวกเขา" (อัลกุรอาน 4:34) และท่านร่อซูล(ซ.ล) ยังได้กล่าวอีกว่า "เพียงแค่นางละหมาดครบห้าเวลา ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน รักษาพรหมจรรย์ของนาง และเชื่อฟังสามีของนาง นางจะเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ ตามที่นางต้องการ" (ศอเหี้ยะ)



ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหม การที่เธอจะได้เป็นหนึ่งจากชาวสวรรค์ จงภูมิใจเถิดที่เธอจะได้เป็นผู้ทวนกระแส ในวจนะที่กล่าวว่า "ในนรกจะมีสตรีมากกว่าบุรุษ"



การเป็นภรรยา สตรีทุกคนทำได้ แต่การเป็นภรรยาที่ดี.. สตรีผู้ศรัทธาเท่านั้น ที่จะทำได้ เพราะเธอมีอัลกุรอาน และหะดีษ เป็นธรรมนูญ เธอจึงเป็น ภรรยาที่ สามีมองแล้วเย็นตาเย็นใจ ฟังเสียงแล้วรื่นรมย์ ได้กลิ่นแล้วหอมหวาน สัมผัสแล้วอ่อนโยน คิดถึงแล้วสุขใจ เธอจึงเป็นภรรยาที่ทำให้สามีรู้สึกว่า ตัวเองคือผู้มีความสุขที่สุดในโลก



อิสลามสอนให้สามีต้องเป็นคน "ขี้หึง" เปล่า..ไม่ใช่หึงหวงแบบไร้เหตุผล หรือตามอารมณ์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่มันคือความหึง....หวง....และห่วงใย ยอมไม่ได้ที่เธอจะผิดหลักการ



ดังนั้นเธอจงละหมาดครบ 5 เวลา ขอเธอจงคลุมฮิญาบ ขอเธอจงอย่าสนทนาหรือให้คนแปลกหน้าเข้ามาบ้าน ขอเธอจงอย่าออกนอกบ้านโดยที่สามีไม่รู้ ขอเธอจงอย่าเอ่ยถึงชายอื่นต่อหน้าสามี ขอเธอจงอย่าแต่งตัวสวยนอกจากเพื่อฉันเท่านั้น โปรดอย่าได้ตำหนิว่าฉันขอมากไป หรือบังคับเข้มงวด เพราะถ้าฉันไม่ขอร้องเธออย่างนี้ ก็หมายความว่า ฉันไม่หึงหวงและห่วงใยเธอ เธอ...จะมาเป็นคู่ชีวิตของฉัน คู่ชีวิตที่หมายถึงผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข



ขอให้เธอเป็นคนแรกที่จะยินดีในความสำเร็จของฉัน และเป็นคนแรกที่จะเสียใจในความล้มเหลวของฉัน เป็นคนเดียวที่ยืนเคียงข้างฉัน ยามที่ฉันเผชิญกับปัญหา "นี่แหล่ะคู่ชีวิต"ฉันพยายามเต็มที่ในการสร้างฐานของครอบครัว ขอเพียงกำลังใจจากเธอ ขอเธอจงอดทนในยามที่ฉันยากจน และขอเธอมัธยัสถ์ในยามที่ฉันมั่งมี แล้วเธอจะเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ



ก่อนที่ฉันจะเลือกเธอเป็นคู่แต่งงาน ฉันไม่ได้มองแค่ให้เธอมาเป็นภรรยา แต่ฉันมองหา "แม่ของลูก" เพราะเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่การสร้างครอบครัว แต่ฉันมีความมุ่งหมายจะสร้างสังคม สร้างประชาชาติอันดียิ่งให้กับท่านนบีมูฮัมมัด



ดังนั้น สมาชิกของประชาชาติอิสลาม ต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดีงาม และเธอคือแหล่งกำเนิดที่ฉันได้เลือกสรรแล้ว ฉันจึงฝากฝังให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลานที่ดี ช่วยฉันในการอบรมดูแลพวกเขา แน่นอนเธออาจจะต้องผูกพันใกล้ชิดพวกเขามากกว่าฉัน เธอจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ในกิจการอันยิ่งใหญ่นี้



ดังนั้นเธอจงช่วยฉันทำให้เขาเป็นคนดีของพระองค์ ไม่ตั้งภาคี...ดำรงการละหมาด...อดทน..ไม่เย่อหยิ่ง แล้วเราจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ ณ พระองค์ ในวันแห่งการตอบแทน เราไม่ได้แต่งงานกันเพื่อที่อยู่กันเพียงสองคน แต่เราแต่งงานกันเพื่อก่อให้เกิดคำว่า "เครือญาติ" เพื่อสร้างความเกี่ยวดอง ความเป็นพี่น้อง และความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชาติ



ดังนั้น เมื่อคนสองคนแต่งงาน จะมีคนอีกอย่างน้อยสองตระกูลมาเกี่ยวพันกัน นี่คือผลงานชิ้นแรกที่คู่แต่งงานได้ช่วยกันสร้างขึ้น สิ่งที่ทั้งสองต้องทำต่อไปคือ ดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์นี้ ด้วยการให้เกียรติเครือญาติของกันและกัน เพราะเครือญาติมีส่วนสำคัญมากมาย ในการที่จะทำให้คู่ของทั้งสองคนดำรงอยู่ต่อไป หรือ..... ล่มสลาย เพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต อะไรที่เธอปรารถนา มันคือสิ่งที่ฉันปรารถนาเช่นกัน อะไรที่รู้สึก มันก็คือความรู้สึกของฉัน เราจะดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งความรู้สึกของร่างกาย และความปรารถนาของหัวใจ สิ่งใดที่เธอสุขใจ ฉันจะขวนขวายทำมันให้เต็มที่ สิ่งใดที่เธอไม่พอใจ ฉันจะหลบลี้หนีห่าง ขอเพียงเธอเอาใจใส่ความรู้สึกของฉัน ให้เกียรติฉัน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง



ให้เธอเป็นนำเย็น ยามที่ฉันเป็นไฟ และฉันก็เช่นกัน จะเป็นน้ำเย็นยามที่เธอเป็นไฟ

วันอีด

วันอีด
     วันตรุษ ในอิสลามมี 2 วันคือ วันอีดฟิฎร และ วันอีดอัฎฮา จะตรงกับวันที่ 1 เดือนเชาวาล และวันอีดอัฎฮาจะตรงกับวันที่ 10 ของเดือนซุลฮิจญะฮ วันตรุษทั้ง 2 นี้ อัลลอฮได้ทรงกำหนดให้เป็นวันรื่นเริงของมุสลิม ดังหะดิษที่รายงาน โดยท่านนะซาอียจากท่านอนัส อิบนิมาลิก รฎิฯ กล่าวว่า ท่านร่อซูล (ซ.ล.) ได้เดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ ก็พบว่าชาวเมืองมีวันรื่นเริงอยู่ 2 วัน ท่านร่อซูล(ซ.ล.) จึงถามว่า วันทั้ง 2 นี้เป็นวันอะไร พวกเขาตอบว่า พวกเราได้เคยรื่นเริงสนุกสนานกันใน 2  วันนี้ ในสยัมญาฮิลียะฮ. ท่านร่อซูลจึงกล่าวว่า “ แท้จริงอัลลอฮฺ ได้ทรงเปลี่ยนวันทั้ง 2  ให้แก่พวกท่าน ด้วยวันที่ดีกว่า คือ วันอีดฟิฎร และวันอีดอัฎฮา” แม้ว่าวันอีดทั้ง 2   จะเป็นวันรื่นเริงก็ตาม แต่ท่านนบีก็ได้กำหนดแบบอย่างในการปฏิบัติอิบาดะฮฺ ต่ออัลลอฮฺไว้ด้วยคือ การกล่าวตักบรี การละหมาดอีด และ การรื่นเริงนั้น จะต้องอยู่ในขอบข่ายของศาสนบัญญัติ
การปฏิบัติตนในวันอีด
1. ห้ามถือศีลอดในวันอีดอมัร อิบนุ อัล – ศ็อฏฏอบ กล่าวในคุฎบะฮดีดว่า “ โอ้ พวกท่านทั้งหลายแท้จริงท่านรอซูล (ซ.ล.) ได้ห้ามพวกท่านไม่ให้ถือศีลอดในสองวันอีดวันแรกเป็นวันที่พวกท่านออกจากการถือศีลอด และอีกวันหนึ่งเป็นวันที่พวกท่านกินเนื้อกรุบาน
2. กล่าวตักบีรฺ ตักบีรฺเป็นคํากล่าวหลักของวันอีดทั้งสอง ดังนั้นจึงต้องกล่าวตักบีรฺให้มากๆ ในคืนวันอีดทั้งสอง ทั้งที่บ้าน ในมัสญิด และตามถนนหนทาง เพื่อเป็นการป่าวประกาศไปทั่วทุกซอกซอ ซึ่งชัยชนะและความต้อนรับการมาเยือนของวันอีด
3. จ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺและเชือดสัตว์กุรบาน
4. อาบน้ำชําระร่างกาย
    ซุนนะฮฺให้อาบน้ำชําระร่างกายช่วงเช้าตรู่ของวันอีด และขจัดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกจากร่างกาย ( เช่น ขจัดขนลับ ตัดเล็บ ตกแต่งหนวด และทรงผมเป็นต้น)
5. พรมน้ำาหอม ควรพรมน้ำหอมให้มีกลิ่นฟุ้งตามร่างกาย ดังที่อิบนุอุมัรฺ ได้ปฏิบัติไว้ส่วนสตรีไม่ส่งเสริมให้พรม น้ำหอมที่มีกลิ่นฟุ้งช่วงที่เดินทางสู่สนามละหมาด เพื่อป้องกันฟิตนะฮฺ หรือความเสื่อมเสียที่ อาจเกิดขึ้น กับนาง
6. แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามและดูดีที่สุด แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดีที่สุด และใหม่ที่สุดเท่าที่จะหาได้
7. รับประทานก่อนละหมาด 
8. เดินทางสู่สนามละหมาดเวลาออกสู่สนามละหมาด ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวในคุฏบะฮฺวันอีดิลอัฎฮาว่า "แท้จริงสิ่งแรกที่ พวกเราต้องปฏิบัติในวันนี้คือ ละหมาดอีด
9. ละหมาดอีด การละหมาดวันอีดเป็นบทบัญญัติและเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในศาสนาอิสลาม ดังจะเห็น ได้จากการปฏิบัติเป็นประจําของท่านนบี และยังกําชับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ให้ออกสู่สนามละหมาดอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้กระทั่งทาสหญิง สตรีสาวสวย สตรีที่มีประจําเดือนและเด็กๆ ก็ยัง ถูกสั่งกําชับให้พา พวกเขาออกสนามละหมาด เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานและตักตวงความสุขและสนุกสนาน อย่างพร้อมหน้ากัน และต้องมีการละหมาดแบบญะมาอะฮฺเท่านั้น






วันเมาลิด

เมาลิด
     เมาลิด เป็นคำนามเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งจะแปลความหมายเป็นเวลา หรือสถานที่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับ ส่วนขยายภายในประโยค  ดังนั้น เมาลิด หมายถึง สถานที่เกิดของท่านนบีอย่างแน่นอน 

เมาลิดนบีตรงกับวันอะไร 
     นักวิชาการต่างมีความเห็นตรงกันว่า นบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เกิดในวันจันทร์เดือน รอบีอุลเอาวัล ปีช้าง เพราะท่าน อิมามมุสลิมได้บันทึกหะดีษไว้ในหนังสือ ซ่อเฮียหของท่านจาก อบีกอตาดะฮรฎิฯ ว่าท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกถามเกี่ยวกับ การถือศีลอดในวันจันทร์ ท่านกล่าวว่า “นั่นคือวันที่ฉันเกิด วันที่ฉันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี และเป็นวันที่อัลกรุอานได้ถูกประทาน มายังฉัน”  แต่จะตรงกับวันที่เท่าไหร่นั้น นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกัน ท่านอิบนุอิสหาก ผู้บันทึกชีวประวัติของท่านนบีคนแรกมีความเห็นว่า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เกิดในวันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ท่านอิบนุฮิชาม ได้รายงานอยู่ในหนังสือชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซีเราะฮ.อิบนิฮิชาม)

การย่อย่องวันเกิดของท่านนบีมุฮัมหมัด
 
     ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ให้แบบอย่างในการย่อย่องวันเกิดของท่าน ดังปรากฎในหะดีษ ซึ่งรายงาน โดยท่านอิมานมุสลิม ซึ่งได้หยิบยกมากล่าวแล้วข้างต้น คือ การถือศีลอดในวันจันทร์ ขณะเดียวกัน ท่านหญิงอาอิซะฮ. ท่านอบูฮุรอยเราะฮ. และท่านอุซามะฮ อิบนุเซด ได้กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ชอบถือศีลอดในวันจันทร์เมื่อท่านถูกถามเกี่ยวกับการนี้ ท่านกล่าวว่า “นั่นเป็นวันที่ฉันเกิด และได้มีการ แต่งตั้งการเป็นนบีแก่ฉัน” นอกจากนั้นท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ  ยังได้รายงานหะดีษจากท่านรอซูล (ซ.ล.) ว่าท่านได้ถือศีลอดในวันจันทร์และวันพฤหัส เมื่อท่านได้ถูกถาม เกี่ยวกับการนี้ ท่านกล่าวว่า “ การงานจะถูกนำเสนอ ยังอัลลอฮฺ ในวันจันทร์และวันพฤหัส ดังนั้นฉันจึงชอบที่จะให้การงานของฉันถูกนำ เสนอขณะที่ฉันถือศีลอด”  บันทึกโดย อัตติรมีซียฺ และท่านกล่าวว่าเป็นหะดีษหะซัน การให้เกียรติและ การมีความรักต่อท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.)   ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เป็นผู้ที่สมควรจะ ได้รับการให้เกียรติ ยกย่อง เนื่องจากว่าท่านเป็นศาสดา ที่มีความสำคัญของโลก ในขณะเดียวกันท่านได้รับากรย่อย่อง จากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมว่า เป็นผู้ที่มีความยิ่งใหญ่ คนหนึ่งของโลก ดังนั้นหน้าที่ของมุสลิม ก็จำเป็นจะต้อง ให้เกียรติยกย่องท่าน รำลึกคุณงามความดีของท่าน อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านนบี (ซ.ล.) ได้ให้แบบอย่าง ในการให้เกียรติยกย่องท่านไว้ในหลายรูปแบบด้วยกันคือ
การย่อย่องวันเกิดของท่านนบีมุฮัมหมัด
1. การดำเนินตาม การปฏิบัติในวันเกิดของท่าน คือ การถือศีลอดในวันจันทร์
2. การมีความรักต่อท่านร่อซูล (ซ.ล.) เพราะการมีความรักต่อท่านร่อซูลนั้นคือ สิ่งที่แสดงถึงการมีอีมาน ของเขา
3. การกล่าวซอลาวาตต่อท่านนบี (ซ.ล.) ส่วนหนึ่งจากการให้เกียรติยกย่องและมีความรักต่อท่านนบีคือ การกล่าวซอลาวาตต่อท่านนบี (ซ.ล.)
4. การปฏิบัติตามคำสั่งใช้และการละเว้นที่จะปฎิบัติตามคำสั่งห้ามของท่านนบี
5. ดำเนินตามแบบอย่างของท่านนบี (ซ.ล.)
การจัดงานเมาลิด
     มุสลิมในบางสังคมได้แสดงออกถึงความรัก การให้เกียรติยกย่อง ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) โดยจัดงานคล้ายวันเกิดของท่านขึ้น ณ ที่นี้สมควรที่จะรู้ถึงประวัติ การจัดงานเมาลิดพอสังเขป
การจัดงานเมาลิดนบี เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในโลกที่ประเทศอียิปต์ เมื่อปี ฮ.ศ. 362  ซึ่งขณะนั้นวงศ์ฟาตีมียฺ ซีอะฮฺ อิสมาอีลียะฮฺ เป็นผู้ปกครองอียิปต์ และได้สถาปนาอาณาจักรฟาตีมียขึ้น ผู้ปกครองขณะนั้นได้แก่ คลลีฟะฮฺ อัลมุอิชลิดีนิลลาฮฺ อัลฟาตีมีย
     บรรยากาศของงานเมาลิดสมัยนั้น เต็มไปด้วยความครึกครื้น มีการประดับประดาสถานที่ต่างๆ ด้วยแสงสี มีการชุมนุมกัน และอ่านอัลกรุอ่านที่มัสญิด อ่านโคลง กลอน บทสุดดี และชีวประวัติของท่านนบี โดยผู้ที่มีเสียงดี พร้อมกันนั้น ก็มีการจัดสถานที่สำหรับแจกจ่ายทานบริจาคแก่ผู้ที่ยากจนขัดสน ในระยะหลังๆ มานี้ ไม่มีการจัดงานเมาลิดอย่างเอิกเริกเช่นก่อน นอกจากการจัดของชาวฎอริกัต เมื่อถึงวันที่ 12  รอบีอุลเอาวัล รัฐบาลประกาศให้หยุดราชการ 1 วัน ภายหลังเวลามักริบ หรือ อีชาอฺ ก็จะมีอีมานประจำมัสญิดต่างๆ หรืออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแสดงปาฐกถา เกี่ยวกับชีวประวัติของท่าน มีปีหนึ่งทางการได้จัดงานรำลึกถึงเกียรติประวัติของ อัลบูซีรียฺ ผู้ประพันธ์บทกลอน “อัลบุรดะฮฺ” ซึ่งบรรยายถึงประวัติของท่านนบี โดยได้จัดให้ศิลปินผู้มีน้ำเสียงดีอ่านคำกลอนบุรดะฮฺ เป็นท่วงทำนอง เคล้ากับเสียงดนตรี
แหล่งอ้างอิง  มุนีร สมศักดิ์ มูหะหมัด. (2548) .วันและเดือนที่สำคัญในอิสลาม. กรุงเทพฯ:สมาคมนักเรียนเก่าศาสนวิทยา.

ประวัติความเป็นมาการทำฮัจญ์

ประวัติความเป็นมาการทำฮัจญ์
     ในยุคที่มีความขัดแย้ง ความเหลวแหลก และไร้ซึ่งสัจธรรมในกลุ่มอาหรับ อัลลอฮ์จึงได้ส่ง
ท่านศาสดามูฮัมหมัดมายังกลุ่มชนนี้โดยสั่งใช้ให้ท่านศาสดาประสานหัวใจของพวกเขา และทำให้พวกเขา เป็นประชาชาติเดียวกันด้วยการยึดมั่น และศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว มีคำปฏิญาณคำเดียวกัน และการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเดียวกัน ด้วยหลักพื้นฐานของการสร้างสัมพันธไมตรีต่อกันระหว่างกลุ่มต่างๆ อัลลอฮ์จึงบัญญัติแก่ประชาติมูฮัมหมัดให้จัดทำศาสนกิจที่ร่วมกันด้วยการ ละหมาดญะมาอะห์ ละหมาดญุมอัต ละหมาดดีด การประกอบพิธีฮัจญ์ร่วมกัน และศาสนกิจอื่นๆ เพื่อเป็นการประสาน สัมพันธไมตรี ประสานหัวใจของประชาชาติมุสลิมให้เป็นหนึ่งเดียว การประกอบพิธีฮัจญ์ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างมิตรภาพระหว่างมุสลิมทั่วโลก โดยการที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างถิ่นฐาน ต่างวัฒนธรรม ต่างมารวมตัวกันและใช้ชีวิตในช่วงเวลาสั้นๆ ร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ โดยมีเป้าหมาย เดียวกัน เ มื่อมนุษย์ชาติต่างได้ยินการเรียกร้องแห่งพระเจ้าให้มาร่วมตัวกันยังจุดนัดหมาย อันเป็นจุดศูนย์กลางของโลก แม้ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากเพียงใด ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าแล้ว พวกเขาก็ไม่หวั่นที่จะเดินทาง มายังบัยติ้ลลอฮิ้ลฮารอมการบำเพ็ญหัจญ์นั้นไม่ได้ถูกเริ่มในสมัยของท่าน ศาสดามูฮัมหมัด แต่มันได้ถูกเริ่มมาตั้งแต่สมัยท่านศาสนาอิบรอฮีม ด้วยกับหัวใจของประชาชาติยุคก่อน อิสลาม ที่ถูกเปลี่ยนสีไปพร้อมกับกาลเวลา จึงทำให้ศาสนาที่ถูกประทานลงมายังศาสดาอิบรอฮีม มีการบิดเบือนและขัดต่อ บัญญัติแห่งอัลลอฮ์ แน่นอนอาหรับในยุคญาฮิลียะห์ได้เข้าร่วมประกอบพิธีฮัจญ์ซึ่ง มีสิ่งที่ขัดต่อบัญญัติของศาสดาอิบรอฮีม ปนอยู่มากมาย เมื่อยุคอิสลามได้มาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จึงเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ถูกเรียกว่าศาสนาอันเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักการก็ได้ถูกขจัดออกไปในเรื่องของพิธีฮัจญ์ และศาสนกิจอื่นๆ และเป็นเรื่องที่ได้รับการยืนยันจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ว่าศาสนาอิสลามนั้นเป็นศาสนา ที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางที่สืบทอดมาจากศาสดาอิบรอฮีม

การประกอบพิธีฮัจญ์ที่ มักกะห์ 
      อัลลอฮ์ทรงเลือกให้มักกะห์และบริเวณรอบมักกะห์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฮัจญ์ เนื่องด้วยกะบะห์ซึ่ง ตั้งอยู่ใจกลางมักกะห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพื้นโลกเป็นใจกลางของทุกทวีป ซึ่งสะดวกแก่มนุษย์ชาติ ที่จะเดินทางมา และแน่นอนกะบะห์เป็นมัสยิดแห่งแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้น อีกทั้งยังเป็นสถานที่ทาง ประวัติศาสตร์ ของบรรดาศาสดารุ่นก่อนๆ

วันอาซูรอ

อาชูรออ์
     อาชูรออ์ แปลว่า วันที่ 10 เป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิมามฮุเซนบิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในสงคราม อัฏฏ็อฟ ในอิรัก เมื่อวันที่ 10 มุฮัรรอม ฮ.ศ. 61 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 680 มุสลิมในประเทศไทย มีการทำอาหารชนิดหนึ่งเรียกว่า บูโบร์อาชูรอ เป็นคำในภาษา
มลายูปาตานี - กลันตัน เป็นชื่อขนมกวนชนิดหนึ่ง เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า บูบูรอาชูรออ์ ในภาษามลายูมาตรฐานที่แปลว่า ขนมกวนวันที่สิบนั่นเอง อาชูรออ์ เป็นคำที่ยืมจากภาษาอาหรับอาชูรออ์ แปลว่าวันที่ 10 ซึ่งในอิสลามหมายถึงวันที่ 10 แห่งเดือน มุฮัรรอม แห่งปฏิทินอิสลาม ชาวมลายูในภาคใต้
จะมีการทำบุญร่วมกัน โดยการทำขนมที่มีชื่อว่า บูโบซูรอ วิธีการทำก็คือ โดยการ กวนข้าว น้ำตาล
มะพร้าว กล้วย ผลไม้อื่นๆ และวัตถุดิบต่างๆ ที่ชาวบ้านนำมา เอามาผสมกันในกะทะใหญ่ และช่วยกัน
กวนคนละไม้คนละมือ จนกระทั่งทุกอย่างเละจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีการปรุงรส ให้มีรสชาติหวาน ตัดด้วยรสเค็มนิดหน่อย จนกระทั่งว่า ได้ที่แล้วจึงตักใส่ถาดรอให้ขนมเย็นเอาไปเลี้ยงคน หรืออาจจะเก็บ ไว้กินวันต่อไปก็จะมีรสชาติอร่อยไปอีกแบบ ผู้รู้เชื่อว่าประเพณีการกวนขนมในวันนี้ เป็นประเพณีของชีอะหฺ แม้ว่า จะมีการอ้างว่ารำลึกถึงเหตุการณ์อื่นๆ ก็ตาม มุสลิมซุนนีย์บางพวกจะถือศีลอดงดอาหารในวันอาชูรออ์

 การกวนขนมอาซูรออ์

โอ้มุสลีมะห์เอ๋ย เป็นดั่งนี้เถิดครับ


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته

ภรรยาที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ รักอัลลอฮฺยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด มากกว่าใคร ใคร ในโลก มากกว่าบิดา มารดา มากกว่าสามี และลูกๆ ภรรยาที่รักท่านร่อซูล(ซ.ล) ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่าน เจริญรอยตามวิถีชีวิตของบรรดาอุมมะฮาต อัล-มุอฺมินีน "มารดาแห่งเหล่าศรัทธาชน" ภรรยาที่รักชีวิตครอบครัว มีความเป็นกุลสตรี ต้องการเป็นแม่บ้านที่ดี ด้วยเหตุที่เธอรู้ว่า.....นั่นคือการญิฮาดของเธอ ภรรยาที่ศึกษาอัล-กุรอาน และใช้ชีวิตไปตามครรลลองของอัลกุรอาน เพื่อที่เธอจะได้เป็นแม่บ้านที่ดี เป็นที่สุขตาสุขใจของฉัน ตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะฉันรู้ดีว่า อัลกุรอาน จะขัดเกลาให้เธอ เป็น หญิงที่ประเสริฐ เป็น ภรรยาที่น่ารัก เป็นแม่ที่รู้จักการเลี้ยงลูก เป็นผู้ผูกสายสัมพันธ์ของครอบครัว เธอรู้ไหม? ว่า....ท่านร่อซูล(ซ.ล) กล่าวถึงพวกเธอไว้อย่างไร



ท่านบอกว่า... "ดุนยาล้วนเต็มไปด้วยความสุขสันต์ แต่สุดยอดของความสุขสันต์บนโลกดุนยานี้คือ....ภรรยาที่ดี



ใช่แล้ว....ภรรยาที่ดี คือความใฝ่ฝันของชายผู้ศรัทธาทุกคน คือเจตจำนงของอัล-อิสลาม ภรรยาที่มอบสิทธิการเป็นผู้นำให้กับสามี เพื่อการจัดวางระบบครอบครัวให้มีระเบียบ มีผู้นำ มีผู้ตาม อัลลอฮฺ(ซ.บ) ทรงตรัสว่า: "บรรดาชายนั้นคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขา เหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไป จากทรัพย์สินของพวกเขา" (อัลกุรอาน 4:34) และท่านร่อซูล(ซ.ล) ยังได้กล่าวอีกว่า "เพียงแค่นางละหมาดครบห้าเวลา ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน รักษาพรหมจรรย์ของนาง และเชื่อฟังสามีของนาง นางจะเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ ตามที่นางต้องการ" (ศอเหี้ยะ)



ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหม การที่เธอจะได้เป็นหนึ่งจากชาวสวรรค์ จงภูมิใจเถิดที่เธอจะได้เป็นผู้ทวนกระแส ในวจนะที่กล่าวว่า "ในนรกจะมีสตรีมากกว่าบุรุษ"



การเป็นภรรยา สตรีทุกคนทำได้ แต่การเป็นภรรยาที่ดี.. สตรีผู้ศรัทธาเท่านั้น ที่จะทำได้ เพราะเธอมีอัลกุรอาน และหะดีษ เป็นธรรมนูญ เธอจึงเป็น ภรรยาที่ สามีมองแล้วเย็นตาเย็นใจ ฟังเสียงแล้วรื่นรมย์ ได้กลิ่นแล้วหอมหวาน สัมผัสแล้วอ่อนโยน คิดถึงแล้วสุขใจ เธอจึงเป็นภรรยาที่ทำให้สามีรู้สึกว่า ตัวเองคือผู้มีความสุขที่สุดในโลก



อิสลามสอนให้สามีต้องเป็นคน "ขี้หึง" เปล่า..ไม่ใช่หึงหวงแบบไร้เหตุผล หรือตามอารมณ์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่มันคือความหึง....หวง....และห่วงใย ยอมไม่ได้ที่เธอจะผิดหลักการ



ดังนั้นเธอจงละหมาดครบ 5 เวลา ขอเธอจงคลุมฮิญาบ ขอเธอจงอย่าสนทนาหรือให้คนแปลกหน้าเข้ามาบ้าน ขอเธอจงอย่าออกนอกบ้านโดยที่สามีไม่รู้ ขอเธอจงอย่าเอ่ยถึงชายอื่นต่อหน้าสามี ขอเธอจงอย่าแต่งตัวสวยนอกจากเพื่อฉันเท่านั้น โปรดอย่าได้ตำหนิว่าฉันขอมากไป หรือบังคับเข้มงวด เพราะถ้าฉันไม่ขอร้องเธออย่างนี้ ก็หมายความว่า ฉันไม่หึงหวงและห่วงใยเธอ เธอ...จะมาเป็นคู่ชีวิตของฉัน คู่ชีวิตที่หมายถึงผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข



ขอให้เธอเป็นคนแรกที่จะยินดีในความสำเร็จของฉัน และเป็นคนแรกที่จะเสียใจในความล้มเหลวของฉัน เป็นคนเดียวที่ยืนเคียงข้างฉัน ยามที่ฉันเผชิญกับปัญหา "นี่แหล่ะคู่ชีวิต"ฉันพยายามเต็มที่ในการสร้างฐานของครอบครัว ขอเพียงกำลังใจจากเธอ ขอเธอจงอดทนในยามที่ฉันยากจน และขอเธอมัธยัสถ์ในยามที่ฉันมั่งมี แล้วเธอจะเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ



ก่อนที่ฉันจะเลือกเธอเป็นคู่แต่งงาน ฉันไม่ได้มองแค่ให้เธอมาเป็นภรรยา แต่ฉันมองหา "แม่ของลูก" เพราะเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่การสร้างครอบครัว แต่ฉันมีความมุ่งหมายจะสร้างสังคม สร้างประชาชาติอันดียิ่งให้กับท่านนบีมูฮัมมัด



ดังนั้น สมาชิกของประชาชาติอิสลาม ต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดีงาม และเธอคือแหล่งกำเนิดที่ฉันได้เลือกสรรแล้ว ฉันจึงฝากฝังให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลานที่ดี ช่วยฉันในการอบรมดูแลพวกเขา แน่นอนเธออาจจะต้องผูกพันใกล้ชิดพวกเขามากกว่าฉัน เธอจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ในกิจการอันยิ่งใหญ่นี้



ดังนั้นเธอจงช่วยฉันทำให้เขาเป็นคนดีของพระองค์ ไม่ตั้งภาคี...ดำรงการละหมาด...อดทน..ไม่เย่อหยิ่ง แล้วเราจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ ณ พระองค์ ในวันแห่งการตอบแทน เราไม่ได้แต่งงานกันเพื่อที่อยู่กันเพียงสองคน แต่เราแต่งงานกันเพื่อก่อให้เกิดคำว่า "เครือญาติ" เพื่อสร้างความเกี่ยวดอง ความเป็นพี่น้อง และความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชาติ



ดังนั้น เมื่อคนสองคนแต่งงาน จะมีคนอีกอย่างน้อยสองตระกูลมาเกี่ยวพันกัน นี่คือผลงานชิ้นแรกที่คู่แต่งงานได้ช่วยกันสร้างขึ้น สิ่งที่ทั้งสองต้องทำต่อไปคือ ดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์นี้ ด้วยการให้เกียรติเครือญาติของกันและกัน เพราะเครือญาติมีส่วนสำคัญมากมาย ในการที่จะทำให้คู่ของทั้งสองคนดำรงอยู่ต่อไป หรือ..... ล่มสลาย เพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต อะไรที่เธอปรารถนา มันคือสิ่งที่ฉันปรารถนาเช่นกัน อะไรที่รู้สึก มันก็คือความรู้สึกของฉัน เราจะดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งความรู้สึกของร่างกาย และความปรารถนาของหัวใจ สิ่งใดที่เธอสุขใจ ฉันจะขวนขวายทำมันให้เต็มที่ สิ่งใดที่เธอไม่พอใจ ฉันจะหลบลี้หนีห่าง ขอเพียงเธอเอาใจใส่ความรู้สึกของฉัน ให้เกียรติฉัน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง



ให้เธอเป็นนำเย็น ยามที่ฉันเป็นไฟ และฉันก็เช่นกัน จะเป็นน้ำเย็นยามที่เธอเป็นไฟ

เรื่องคาวๆๆหมอมุสลีมะฮ์คนดังแห่ง รพ.รามัน

มีเรื่องคาวๆใต้สะดือ.ของหมอมุสลีมะฮ อัส..แห่ง รพ.รามัน..ดังมาก.ตั้งแต่ปีที่แล้ว..รู้ทั้งสสจ.ยะลา ปัตตานี..แต่หล่อนก็ยังทำหน้าซื่อ ยังทำเคร่ง..ทำอย่างกับว่า ไม่มีใครรู้ เรื่องของของ...ถ้า ไม่ไปโกหก..ผอ รพ.รามัน ไม่ไปแจ้งตำรวจ เรื่องของหล่อนคงไม่มีใครรู้..ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า..หล่อนได้คบหากับผู้ชายคนหนึ่งมาหลายปี..ตั้งแต่สมัยเรียนแพทย์ ที่ มหิดล..ตั้งแต่ปี 45 โน่น เลย..และข่าวที่ยืนยันได้..หล่อนเคยไปนอนค้างที่ห้องผู้ชาย..หลายครั้ง..เพระรุ่นน้อง เห็นทั้งนั้น..ไม่ได้หายตัวไป..ไม่นับที่ผู้ชายไปหาที่ โคราชตอนที่ฝึกงาน..สรุปคือ หล่อนอยู่กับมีความสัมพันธ์ฉันผัวเมีย ตั้งแตเรียนปี 3...และที่ รพ.รามัน...รพ.ยะลา ผู้ชายก็มาหาและค้างคืนด้วยหลายครั้งมากๆๆๆคนเห็นทั้ง โรงบาล...ทั้งที่หล่อนคลุมอย่างเรียบร้อยนะ..แต่มีบางกระแส..ว่าหล่อนแอบไปนีกะฮ...มาแล้ว.แต่เรื่องที่ทำให้คนงง คือหล่อนมาใช้ทุนที่ รพ.รามันอีกครั้ง กลางปี 50 ก็มาคั่วเอากับคนใหม่ ทั้งที่กับคนเก่า ก็คบฉันผัวเมียอยู่..พอแฟนตัวจริงมาหา ที่ รพ.รามัน หมอ อ. ก็ไปฟ้อง โกหก ผอ. โดยรวมหัวกับ ชู้ใม่ ว่ามีคนจะมาทำร้ายเป็นโจร ไม่รู้จักมาก่อน แถมไปโกหก ตำรวจว่าไม่เคยเป็นอะไร จนรุ่นน้องที่ จบ จากมหิดล ก็ยัง งเลยว่า ทำหมอมุสลีมะฮท่านนี้..ทั้งดูที่ภายนอกเคร่ง..อย่างแรง..แค่คนเดียวแต่มีความอะไรกัน..โดยที่ยังไม่ได้นีกะฮ ก็ผิดอย่างแรงแล้ว..นี่..ล่อเอาอีกคนอีก ถ้าไม่คลุมไม่ละหมาดเลยไม่แปลก แต่นี่ ภายนอกคลุมอย่างดี..เคร่งศาสนาอย่างมากๆๆๆ ถ้าท่านอยากรู้ชื่อ ลองพิม หมออัส รพ.รามัน ใน Google. ข้อมูล จะขึ้นเพียบเลย ขอบอก...สังคมเดี๋ยวดูเคร่ง ภายนอก ก้เชื่อไม่ได้หรอก ไม่ว่า จะเป็นหมอ หรือเป็นอะไร ก็ตามๆๆๆ

การแต่งกายอิสลาม


ในอิสลาม วัตถุประสงค์สำคัญ ของการแต่งกายคือ การปกปิดสิ่งพึงละอายของร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายของผู้หญิง ทั้งนี้ เพื่อที่จะไม่ให้ส่วนหนึ่งส่วนใด ของเรือนร่างเพศหญิง กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ของผู้ชาย ซึ่งจะก่อให้เกิด ความเสียหาย ขึ้นมาในสังคม จึงได้วางหลักเกณฑ์ดังนี้

1.เสื้อผ้าจะต้องสะอาด ประณีต เรียบร้อย ดูสวยงาม เหมาะสมกับบุคลิกภาพ การดำรงตนสมถะ หรือการเคร่งครัดในศาสนา ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ดูซอมซ่อ เพื่อให้คนอื่นดูว่าตัวเอง ไม่ใส่ใจใยดีต่อโลก อย่าแต่งกาย ให้คนอื่นดูถูก หรือมองเห็นเรา เป็นตัวตลก

2. อิสลาม ไม่ห้ามการแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้าที่ดีมีราคา ถ้าหากว่าฐานะทางเศรษฐกิจ เอื้ออำนวย และต้องการแสดงออก ให้เห็นว่าตน ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกัน อิสลามก็ห้ามการแต่งกาย โดยมีเจตนา ที่จะโอ้อวด ถึงความมั่งคั่ง และความทนงตน ว่าเหนือกว่าคนอื่น

3. เสื้อผ้าต้องปกปิด สิ่งพึงละอายของผู้สวมใส่ สำหรับผู้หญิงนั้นสิ่งที่พึงปกปิด (เอาเราะฮ) ก็คือทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นใบหน้า และฝ่ามือ ส่วนเอาเราะฮ ของผู้ชายนั้นคือบริเวณตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า

4. ผู้หญิงมุสลิม จะต้องไม่แต่งกาย ด้วยเสื้อผ้าที่รัดรูป แนบเนื้อ หรือเสื้อผ้าที่โปร่งบาง หรือมีรูที่ทำให้มองเห็นผิวหนัง หรือเรือนร่างภายใน

5. ผู้ชาย จะต้องไม่ใส่เสื้อผ้า หรือแต่งกายเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้า หรือแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย ทั้งนี้เพื่อดำรงรักษาบุคลิกและเอกลักษณ์แห่งเพศของตัวเองไว้ ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้สาปแช่งคน ที่แต่งกายเลียนแบบ ของเพศตรงข้าม

6. อิสลามห้ามมุสลิมชาย สวมใส่เสื้อผ้า ที่ตัดมาจากผ้าไหม และสวมใส่เครื่องประดับทองคำ ทั้งนี้เพราะว่า สิ่งเหล่านี้เหมาะสม ที่จะเป็นอาภรณ์ และเครื่องประดับของผู้หญิง

7. อิสลามห้ามหญิงมุสลิม ใส่น้ำหอมออกนอกบ้าน เพราะไม่ต้องการให้กลิ่นน้ำหอม ไปกระตุ้นความรู้สึกของเพศตรงข้าม แต่ขณะเดียวกัน ก็สนับสนุนให้ผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยาใส่น้ำหอม และแต่งกายให้สะอาดสวยงามเมื่ออยู่กับสามี

8. หวีผมให้เรียบร้อย และอย่าปล่อยให้ผมกระเซิง

9. ก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้า และรองเท้า ให้สะบัดหรือเคาะเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้แมลง หรือสัตว์อันตราย ที่อาจอาศัยหรือติดอยู่ในเสื้อผ้า และรองเท้าหลุดไป และเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าหรือรองเท้า ให้เริ่มใส่ทางข้างขวาก่อน

10. หลีกเลี่ยงการแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด หรือแต่งกาย เลียนแบบนักบวชหรือนักพรต

11. ให้เสื้อผ้าแก่คนยากจนบ้าง เพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮ ที่ทรงโปรดปราน ให้เราได้มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้กล่าวว่า "ใครที่ให้เสื้อผ้าแก่มุสลิม สวมใส่ร่างกายของเขา อัลลอฮ จะให้เขาได้สวมใส่เสื้อผ้าสีเขียว แห่งสวรรค์ ในวันแห่งการพิพากษา"

12. ให้เสื้อผ้าที่ดี ตามสถานภาพของท่านเอง แก่คนรับใช้ หรือบ่าวที่ทำหน้าที่รับใช้ท่านมาตลอดทั้งวัน

หิญาบ เป็นชุดที่จะทำให้ผู้หญิง ปลอดภัยจากการลวนลาม และแทะโลม ทุกวันนี้ ผู้แต่งชุดหิญาบ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ ในสายตาสังคม แต่คือความงดงาม ความสุภาพ และความลุ่มลึก ในความรู้สึก ที่สงบของผู้สวมใส่ และผู้พบเห็น เป็นความเย็นตาเย็นใจ ด้วยสายตา ของผู้มีศรัทธาในอิสลาม ย่อมเห็นว่า หญิงที่สวมใส่ชุดหิญาบน่าเลื่อมใสและน่าให้เกียรติ





ศาสดา และประวัติ

ศาสดาของศาสนาอิสลามมีชื่อว่า มุฮัมมัด มุสลิมจะเรียก มุฮัมมัดว่า นบี หรือ ร่อซู้ล
         
คำว่า นบี หมายถึง ผู้ได้รับโองการ และข้อบัญญัติต่างๆ จากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า
         
คำว่า ร่อซู้ล หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่นำบัญญัตินั้นออกเผยแพร่สู่บุคคลอื่นๆ
       
 มุฮัมมัด เป็นทั้งนบี(ศาสดา)และร่อซู้ลท่านสุดท้ายที่ได้นำหลักคำสอนจากอัลลอฮ์มาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ

และจะไม่มีศาสดาคนใหม่หลังจากมุฮัมมัด อีกแล้ว 


                                               ประวัติของมุฮัมมัด (โดยสรุป) 

ท่านนบีมุฮัมมัด เกิดที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในวันจันทร์ที่ ๑๒ เดือน รอบีอุลเอาวัล (เดือนที่ ๓ ของปฏิทินอาหรับ) ปีช้าง (ค.ศ. ๕๗๑) บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮ์ และได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังอยู่ในครรภ์ของมารดา ส่วนมารดาของท่านชื่อ อามีนะห์ และได้เสียชีวิตลงขณะที่ท่านมีอายุได้ ๖ ขวบ ท่านจึงได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากปู่ของท่านที่ชื่อว่าอับดุลมุฎฎอลิบ และต่อมาก็อยู่ในความอุปการะของลุงที่ชื่อว่าอะบูฏอลิบ โดยในขณะเยาว์วัยนั้นนางฮาลีมะห์ได้เป็นแม่นมของท่าน
ขณะเยาว์วัยท่านได้ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงแกะในชนบทชาญเมืองมักกะห์ เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มท่านได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำกองคาราวานสินค้าของนางคอดีญะห์เดินทางค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ และได้นำกำไรมหาศาลกลับมาให้นางคอดีญะห์ จนได้รับฉายาว่า อัลอามีน ซึ่งแปลว่า ผู้ซื่อสัตย์
ขณะเยาว์วัยท่านได้ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงแกะในชนบทชาญเมืองมักกะห์ เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มท่านได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำกองคาราวานสินค้าของนางคอดีญะห์เดินทางค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ และได้นำกำไรมหาศาลกลับมาให้นางคอดีญะห์ จนได้รับฉายาว่า อัลอามีน ซึ่งแปลว่า ผู้ซื่อสัตย์
เมื่ออายุครบ ๒๕ ปี ท่านได้แต่งงานกับนางคอดีญะห์ ซึ่งในขณะนั้นนางเป็นหญิงหม้ายอายุ ๔๐ ปี
เมื่อท่านอายุได้ ๔๐ ปี อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งท่านให้เป็น นบีและร่อซู้ล เพื่อรับข้อบัญญัติจากพระองค์และนำคำสอนของบัญญัติต่างๆ มาเผยแพร่ ในช่วงเริ่มแรกของการเผยแพร่คำสอนอิสลามนั้น ท่านได้รับการต่อต้านและถูกทำร้ายอย่างหนักจากชาวกุเรชในนครมักกะห์ จึงทำให้มีผู้ยอมรับและศรัทธาในคำสอนที่ท่านนำมาเผยแพร่ไม่มากนัก โดยท่านได้เผยแพร่คำสอนอิสลามที่นครมักกะฮ์เป็นเวลา ๑๓ ปี และไม่สามารถทนต่อการทำร้ายของชาวกุเรชได้ ท่านจึงใช้ให้ผู้ศรัทธาอพยพไปยังนครมะดีนะห์ และตัวท่านได้อพยพตามไปในภายหลัง ท่านได้ทำการเผยแพร่อิสลามที่นครมะดีนะห์เป็นเวลา ๑๐ ปี ณ นครมะดีนะห์ทำให้อิสลามสามารถแผ่ขยายออกไปสู่ดินแดนห่างไกลนอกคาบสมุทรอาหรับ ดังกล่าวรวมเวลาในการเผยแพร่คำสอนอิสลามของท่านทั้งสิ้น ๒๓ ปี และท่านได้เสียชีวิตที่นครมะดีนะห์ ในวันจันทร์ที่ ๑๒ เดือนรอบีอุลเอาวัล  ฮ.ศ. ๑๑  ตรงกับวันที่ ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๖๓๒  (พ.ศ. ๑๑๗๖)  รวมอายุได้ ๖๓ ปีและศพของท่านถูกฝังอยู่ ณ นครมะดีนะห์ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย

การเลือกคู่ครองในศาสนาอิสลาม

การเลือกคู่ครองในศาสนาอิสลาม

คนที่กำลังมีความรักและบังเอิญว่าคนรักของคุณเป็นคนที่นับถือศาสนาอิสลาม คงต้องให้ความใส่ใจเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวการเลือกคู่ ของศาสนาอิสลาม หน่อย แล้วล่ะค่ะ เพราะอย่างน้อย เมื่อคุณได้สมัครใจที่จะลงเอย เป็นลูกเขย ลูกสะใภ้ ของศาสนาอิสลามแล้ว คุณจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องค่ะ

หลักในการเลือกคู่ครองตามหลักศาสนาอิสลาม จะเน้นที่คนๆ นั้นต้องเป็น ศาสนิกชนที่ดี มีความศรัทธาในพระศาสนาเป็นที่ตั้ง แต่วิธีในการเลือกคู่ ศาสนาเปิดโอกาสให้คนทั้งสองคนได้ทำความรู้จัก และเรียนรู้ซึ่งกัน และกัน ก่อนแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ชายหญิงคู่นั้น จะต้องเติบโตมาด้วยกัน หรือคุ้นเคย กันก่อนที่จะร่วมหอลงโรงอยู่ด้วยกันนะคะ และวิธีที่ชายหญิงทั้งสองคน จะทำ ความรู้จักกัน จะต้องอาศัยการมอง ที่พินิจ พิจารณาอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมีสติ ว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติพร้อม ในการอยู่ร่วมกัน ได้จริงๆ ไม่ใช่เกิดจากความ เสน่หาอารมณ์แต่อย่างเดียว อีกอย่างการทำความ รู้จักของทั้งคู่ ก็ไม่ใช่ว่า จะทำได้อย่างเสรี ซึ่งข้อจำกัดสำหรับการนี้ มีดังต่อไปนี้ค่ะ

  • ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ศาสนาไม่อนุญาตให้อยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองต่อสองในห้องที่ปิดสนิท หรือการออกไปนอกบ้าน ตามลำพังกันเพียงสองคน

  • ชายหญิงไม่สามารถแสดงความรักต่อกันและกัน ในลักษณะการ สัมผัส ทางกาย ขณะที่ยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีวิวาห์อย่างถูกต้อง ตามหลัก ประเพณี

ตามหลักศาสนาอิสลามมองว่า ความรักของชายหญิง โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น เป็นความรักที่เกิดจากความพอใจเพียงรูปลักษณ์ภายนอก และความเสน่หาอารมณ์ ไม่ใช่เป็นความรักที่เกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก่อน
ดังนั้น การตัดสินใจเรียนรู้กันและกันอย่างลึกซึ้ง ใกล้ชิดกัน และอยู่ด้วยกันก่อน ตามแนวคิดแบบคู่รักชาวตะวันตก ก็ไม่ใช่จะรับประกันได้ว่า คู่รักนั้นจะมีความสุข กับชีวิตแต่งงานในอนาคต ซึ่งอัตราการหย่าร้างสูงในสังคมอเมริกัน ก็เป็นสิ่ง ยืนยันได้ค่ะว่า แนวคิดตามหลักศาสนาอิสลามเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และความรัก ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปที่จะทำให้ชีวิตการแต่งงานของคนสองคนมั่นคงได้ตลอดไป

การแต่งงานในศิสนาอิสลาม
การแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งงานแบบ "คลุมถุงชน" มักถูกพวกฝรั่งตะวันตกดูถูกอยู่เสมอว่า เป็นเรื่องล้าหลัง และไร้สาระ แต่หารู้ไม่ค่ะว่า การแต่งงานแบบคลุมถุงชนนี่ล่ะ ที่ทำให้คู่รัก (หรือคู่ที่ถูกเลือก ให้มารักกัน) อยู่ด้วย กันจน ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มาแล้วนับไม่ถ้วน ตรงข้ามกับ พวกที่ แต่งงานแบบรักกันเองเสียอีก อย่างที่ว่าไว้ตามหลักศาสนา อิสลามนั่นล่ะค่ะ ว่า ความรักทำให้คนตาบอด ที่ไม่รู้จักพิจารณาเอาความเหมาะสมเป็นที่ตั้ง มากกว่าแค่ ความพอใจ ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส

เคล็ดลับความสำเร็จในการครองเรือนของการแต่งงานที่เกิดจากวิธี "คลุมถุงชน" ก็คือ ความเหมาะสม ที่ผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงได้มอง และพิจารณาจากคุณสมบัติ ของคนทั้งคู่แล้วว่า เป็นเรื่องที่สามารถเกื้อหนุน และเข้ากันได้ดี อาจเนื่องมาจากวุฒิ การศึกษา ฐานะ หรือค่านิยม ที่ได้รับการ ปลูกฝังมา เพราะฉะนั้น ปัญหาของความ ไม่เข้าใจกัน และการทะเลาะวิวาท จึงมักไม่เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก กับคู่รักที่ แต่งงาน
กันแบบ "คลุมถุงชน" ค่ะ

ศาสนาอิสลาม ถือเรื่องการแต่งงานว่าเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตค่ะ และถือว่า เป็นหน้าที่ ของศาสนิกชนที่ดีพึงปฏิบัติ เพราะการแต่งงาน ตามหลักศาสนาอิสลาม มองว่า เป็นวิถีทาง ของสังคมในการยอมรับ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ในการอยู่กิน ภายใต้ร่มไม้ชายคาเดียวกัน และถือเป็นประเพณีที่ถูกต้องที่ มนุษย์คู่ชายหญิง จะสามารถแสดงออกถึงความต้องการทางเพศได้ โดยไม่ได้รับ การประณามว่าเป็นการกระทำที่ไร้ยางอาย อีกอย่างค่ะ ศาสนาอิสลามมองว่า การแต่งงานยังเป็นการช่วยให้สังคมมนุษย์ดำรงอยู่ได้ไม่มีวันสูญสลาย และเป็น พื้นฐานอันมั่นคงของระบบสังคมที่มนุษย์เราอาศัยอยู่รวมกันอีกด้วย

พูดง่ายๆ อาจมองได้อีกมุมหนึ่งว่า ศาสนาอิสลามให้ความสำคัญของการแต่งงาน เพียงเพื่อ ต้องการให้มนุษย์รู้จักควบคุมความใคร่ และความปรารถนาให้ อยู่ใน ขอบเขต ที่จะแสดง ออกได้ ให้รู้จักถึงความคิดเป็นและรู้จักควบคุม ในฐานะสัตว์ อันประเสริฐ ที่มีความแตกต่าง จาก สัตว์เดรัจฉานทั่วไปอย่างสิ้นเชิงนั่นล่ะค่ะ

จุดประสงค์ของการแต่งงานในศาสนาอิสลาม 
โดยทั่วไป ศาสนาอิสลามมองว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการแต่งงานตาม หลัก ศาสนาคือ การมอบความปรองดองรักใคร่แก่กันและกัน การให้กำเนิดบุตร และการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตามพระบัญชาของพระอัลเลาะห์

"การแต่งงาน เป็นผลที่สนองตอบทางด้านอารมณ์และจิตใจ ที่มาจาก ความรักใคร่ และความเสน่หาทั้ง จากรูปลักษณ์ภายนอก และความดีงามภายใน และยังเป็นวิถี ทางของการดับ อารมณ์เครียดในตัวมนุษย์ที่พึงจะมี อีกทั้ง การแต่งงานยังถือเป็น หนทางของการพัฒนาจากระดับความใคร่ ไปสู่ความรักอันกลมเกลียวในครอบครัว ศาสนิกชนบางท่านอาจเลือกที่จะไม่แต่งงาน แต่ในความเป็นจริง หากใครที่มีโอกาส ได้แต่งงาน ผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอัลเลาะห์ได้อย่างสมบูรณ์"

การแต่งงานในศาสนาอิสลามถือเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องที่ใคร จะมาล้อเล่น กันง่ายๆ เพราะการแต่งงานคือ พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เกิดจากการ ยินยอม อย่าง แข็งขัน ของทั้ง ฝ่ายชาย และหญิงในการอยู่ร่วมกัน ไม่เหมือนกับการซื้อเสื้อผ้า ที่สามารถขอเปลี่ยน ตัวใหม่ได้ ทันที ถ้ารู้สึกว่าตัวนี้ไม่ชอบเอาซะเลย เพราะศาสนา อิสลามถือว่า คู่ครอง ที่แต่งงานด้วยคือเนื้อคู่ที่จะอยู่ด้วยกันจนวันตาย "การแต่งงาน ถือว่าเป็นการปฏิบัติ ตาม คำสอน ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ไปแล้ว ครึ่งหนึ่ง"

สำหรับการแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลาม จะดำเนินไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ค่ะ
  • เป็นการยินยอมในการอยู่กินฉันสามีภรรยา ของคู่แต่งงานเอง และญาติๆ ทั้งสองฝ่าย

  • มีการมอบสินสอด เพื่อเป็นของกำนัลที่เจ้าบ่าวพึงมีต่อเจ้าสาว

  • ประกอบด้วยพยานในพิธี อย่างน้อย 2 คน ชายหรือหญิงก็ได้

  • มีการประกาศเพื่อเฉลิมฉลองพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ ให้สังคมรับรู้


เมื่อการแต่งงาน คือเรื่องของการยินยอม หากการแต่งงาน เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ ของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเป็นผู้จัดการให้ หรือบงการเองทั้งหมด (หรือที่เรียกว่า คลุมถุงชน นั่นล่ะค่ะ) ทำให้ลูกหลานที่จะต้องเข้าร่วมพิธีวิวาห์ ไม่มีโอกาสเลือก เป็นอย่างอื่นได้ แต่หารู้ไม่ค่ะว่า ความเป็นจริงแล้ว การแต่งงาน คือพิธีการ ที่เกิดขึ้นจากความยินยอมของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั้นๆ เป็นสำคัญมากกว่าค่ะ

ดังนั้น ความสำคัญของการแต่งงาน จึงอยู่ที่ความสมัครใจของคนสองคนว่า พร้อมจะร่วมหอลงโรงกันหรือไม่ ไม่ใช่ว่า ผู้ใหญ่จะเป็นคนตัดสินใจให้ได้นะคะ และในกรณีที่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เกิดไม่รู้สึกยินยอม การแต่งงานนั้นก็ไม่ สามารถ กระทำได้ อย่างในสมัยท่านศาสดานบี มูฮัมหมัด ท่านเคยถูก หญิงสาว นางหนึ่ง ร้องเรียน ว่าเธอถูกบิดาบังเกิดเกล้าจับให้แต่งงาน โดยที่เธอไม่สมัครใจ เลยแม้ แต่นิด ท่านศาสดาเห็นว่า การแต่งงานนี้ไม่ได้เกิดจากความยินยอมที่ถูกต้อง จึงให้ยกเลิกการแต่งงานนั้นไปโดยปริยาย

จุดประสงค์ของการแต่งงานในศาสนาอิสลาม 
โดยทั่วไป ศาสนาอิสลามมองว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการแต่งงานตาม หลัก ศาสนาคือ การมอบความปรองดองรักใคร่แก่กันและกัน การให้กำเนิดบุตร และการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตามพระบัญชาของพระอัลเลาะห์

"การแต่งงาน เป็นผลที่สนองตอบทางด้านอารมณ์และจิตใจ ที่มาจาก ความรักใคร่ และความเสน่หาทั้ง จากรูปลักษณ์ภายนอก และความดีงามภายใน และยังเป็นวิถี ทางของการดับ อารมณ์เครียดในตัวมนุษย์ที่พึงจะมี อีกทั้ง การแต่งงานยังถือเป็น หนทางของการพัฒนาจากระดับความใคร่ ไปสู่ความรักอันกลมเกลียวในครอบครัว ศาสนิกชนบางท่านอาจเลือกที่จะไม่แต่งงาน แต่ในความเป็นจริง หากใครที่มีโอกาส ได้แต่งงาน ผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอัลเลาะห์ได้อย่างสมบูรณ์"

การแต่งงานในศาสนาอิสลามถือเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องที่ใคร จะมาล้อเล่น กันง่ายๆ เพราะการแต่งงานคือ พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เกิดจากการ ยินยอม อย่าง แข็งขัน ของทั้ง ฝ่ายชาย และหญิงในการอยู่ร่วมกัน ไม่เหมือนกับการซื้อเสื้อผ้า ที่สามารถขอเปลี่ยน ตัวใหม่ได้ ทันที ถ้ารู้สึกว่าตัวนี้ไม่ชอบเอาซะเลย เพราะศาสนา อิสลามถือว่า คู่ครอง ที่แต่งงานด้วยคือเนื้อคู่ที่จะอยู่ด้วยกันจนวันตาย "การแต่งงาน ถือว่าเป็นการปฏิบัติ ตาม คำสอน ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ไปแล้ว ครึ่งหนึ่ง"

สำหรับการแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลาม จะดำเนินไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ค่ะ
  • เป็นการยินยอมในการอยู่กินฉันสามีภรรยา ของคู่แต่งงานเอง และญาติๆ ทั้งสองฝ่าย

  • มีการมอบสินสอด เพื่อเป็นของกำนัลที่เจ้าบ่าวพึงมีต่อเจ้าสาว

  • ประกอบด้วยพยานในพิธี อย่างน้อย 2 คน ชายหรือหญิงก็ได้

  • มีการประกาศเพื่อเฉลิมฉลองพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ ให้สังคมรับรู้


เมื่อการแต่งงาน คือเรื่องของการยินยอม หากการแต่งงาน เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ ของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเป็นผู้จัดการให้ หรือบงการเองทั้งหมด (หรือที่เรียกว่า คลุมถุงชน นั่นล่ะค่ะ) ทำให้ลูกหลานที่จะต้องเข้าร่วมพิธีวิวาห์ ไม่มีโอกาสเลือก เป็นอย่างอื่นได้ แต่หารู้ไม่ค่ะว่า ความเป็นจริงแล้ว การแต่งงาน คือพิธีการ ที่เกิดขึ้นจากความยินยอมของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั้นๆ เป็นสำคัญมากกว่าค่ะ

ดังนั้น ความสำคัญของการแต่งงาน จึงอยู่ที่ความสมัครใจของคนสองคนว่า พร้อมจะร่วมหอลงโรงกันหรือไม่ ไม่ใช่ว่า ผู้ใหญ่จะเป็นคนตัดสินใจให้ได้นะคะ และในกรณีที่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เกิดไม่รู้สึกยินยอม การแต่งงานนั้นก็ไม่ สามารถ กระทำได้ อย่างในสมัยท่านศาสดานบี มูฮัมหมัด ท่านเคยถูก หญิงสาว นางหนึ่ง ร้องเรียน ว่าเธอถูกบิดาบังเกิดเกล้าจับให้แต่งงาน โดยที่เธอไม่สมัครใจ เลยแม้ แต่นิด ท่านศาสดาเห็นว่า การแต่งงานนี้ไม่ได้เกิดจากความยินยอมที่ถูกต้อง จึงให้ยกเลิกการแต่งงานนั้นไปโดยปริยาย
การปฏิบัติตนในฐานะสามีภรรยาที่ดี
ให้การเลี้ยงดูภรรยา 
ตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ระบุไว้อย่างชัดเจนค่ะว่า หน้าที่สำคัญ ของสามีประการแรก คือการเลี้ยงดูภรรย าด้วยความรักและ ความเอาใจใส่ โดยไม่เกี่ยง ว่า ภรรยาของตนจะนับถือศาสนาใดก็ตาม จะรวยหรือจนแค่ไหน หรือสุขภาพร่างกายจะอ่อนแอสักเพียงใด สามีจะต้อง เป็นผู้รับผิดชอบ ในตัวเธอ และทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เมื่ออยู่ในความค้ำจุน ของสามี เพื่อเธอจะได้ ทำหน้าที่ ศรีภรรยา ได้อย่างสมบูรณ์

สิ่งที่สามีจะปฏิบัติต่อภรรยา ได้แก่ การจัดหาที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคให้กับเธอ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และไม่ว่าสามีจะต้อง เดินทางรอนแรมไป ณ ที่แห่งใด ก็เป็นหน้าที่อีกเช่นกันค่ะ ที่สามีจะต้อง ให้ภรรยาติดตามตนไปด้วย

นอกจากนี้ ในกรณีที่ภรรยา ต้องการคนรับใช้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ ของเธอ ในการดูแลทำความสะอาดบ้าน สามีก็จะต้องเป็นผู้จัดหาคนรับใช้นั้น มาให้ อย่างที่เธอต้องการ เพื่อไม่ให้เธอต้องลำบาก ท่านศาสดานบี มูฮัมหมัด เคยกล่าว ไว้ค่ะว่า การเป็นสามีที่ดี ก็คือการเป็นศาสนิกชนที่ประเสริฐยิ่ง

มอบสินสอดตามประเพณี 
ศาสนาอิสลาม ให้ความสำคัญกับเรื่องสินสอดทองหมั้น ที่ฝ่ายชายต้องมอบ ให้กับฝ่ายหญิงเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานอย่างมากทีเดียวค่ะ ถ้าฝ่าย ชายละเลยในเรื่องของสินสอด การแต่งงานก็ถือเป็นอันต้องโมฆะไป ซึ่งตาม หลักแล้ว มูลค่าของสินสอดที่ว่า จะเป็นเรื่องที่ตกลงกัน ระหว่างผู้ปกครอง ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในรูปของเงินทอง เพชรนิลจินดาเสมอไป อาจแทนด้วยสิ่งมีค่าที่เป็นนามธรรม เช่น การสอนอ่าน พระคัมภีร์อัลกุรอ่านอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้นค่ะ

แต่ทั้งนี้ สินสอดที่ฝ่ายชาย นำมามอบในพิธี จะถือเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง ในทันที เมื่อทำการมอบให้แล้ว การมอบสินสอดของศาสนาอิสลาม ไม่เหมือน กับประเพณี ของบางศาสนา ที่จะต้องให้ผู้ปกครองของฝ่ายหญิง เป็นผู้มอบสินสอด ให้กับฝ่าย ชาย เพื่อมาแต่งงานกับลูกสาวของตน ซึ่งค่านิยมเช่นนี้ ไม่มีให้เห็นใน ศาสนา อิสลาม และซ้ำยังถูกว่า เป็นการไม่ให้เกียรติ กับสตรีเพศ อีกด้วยค่ะ

มอบสิทธิ์แห่งความเสมอภาคและรักนิรันดร์ 
สามีที่ดี จะต้องเป็นผู้มอบความรัก ความห่วงใย ให้เกียรติ และความเสมอภาค ให้แก่ภรรยา โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง กรณีที่สามีมีภรรยา มากกว่า หนึ่งคน

สิ่งที่ภรรยาพึงกระทำต่อสามี
หน้าที่หลักสำคัญประการหนึ่งของภรรยา คือการมีส่วนร่วมผลักดัน ในความ สำเร็จ และความสุขของชีวิตการแต่งงาน และการเป็นภรรยาที่ดี จะต้องคอยปฏิบัติตน ซื่อสัตย์ต่อสามี ไม่พูดปด ไม่มีความลับปิดบัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการแอบคุมกำเนิดโดยที่สามีไม่รู้ เพราะถือเป็นเรื่อง ต้องห้ามในศาสนาอิสลามเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ ภรรยาจะต้องไม่ให้ชายใด สามารถ กระทำการล่วงเกินตนได้ นอกจากสามีเพียงคนเดียว ไม่แสดงอาการต้อนรับ ชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมาก่อน เว้นเสียได้รับอนุญาตจากสามีเสียก่อน

ไม่อยู่บ้านสองต่อสองตามลำพังกับชายแปลกหน้า ไม่รับของกำนัลจากชายหน้า ไหนทั้งสิ้น หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากสามีเสียก่อน ข้อห้ามที่กำหนดขึ้นเหล่านี้ ตั้งขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาระหองระแหงภายในครอบครัว ที่อาจเกิดจากความหึงหวง ความระแวง และการนินทาของพวกปากหอยปากปูนั่นเองค่ะ

สรุปแล้วว่า การเป็นภรรยาที่ดีตามหลักศาสนาอิสลาม คือภรรยาจะต้องคอย ให้เกียรติ สามี ซื่อสัตย์ และจริงใจต่อสามี รวมถึงเรื่องของการรู้จักเอาอกเอาใจ ให้ความสุขบน เตียงแก่สามีด้วยค่ะ โดยยามใดก็ตามที่สามีต้องการ เปิดฉากร่วมรัก กับภรรยา สุดที่รัก เธอจะต้องไม่ทำการขัดขืนความต้องการของสามี และยินยอม ปฏิบัติตาม ความ ต้องการ แต่โดยดี ที่ต้องทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการป้องกัน ไม่ให้สามี ต้อง ระเห็จไป แสวงหา ความสุข ภายนอกบ้านยังไงล่ะคะ

"การเป็นศรีภรรยา จะต้องคอยปรนนิบัติสามีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หากสามี เรียกหา เธอจะ ต้องหยุดการกระทำ ทุกอย่างลงเสียก่อน ถึงแม้กำลัง สาละวนวุ่น อยู่ในครัว แค่ไหน ก็ตาม"

บทบาทของสามี คือการเป็นผู้นำของครอบครัว และบทบาทของภรรยา คือการเป็น ผู้ตาม ให้การยอมรับอำนาจ และการตัดสินใจของสามีในฐานะของช้างเท้าหน้า แต่ทั้งนี้ หากสามีไม่สามารถทำตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และทำตัวไม่เหมาะสมต่อ การเป็นสามี ที่ดีของเธอ ภรรยาผู้นั้นสามารถ เรียกร้องสิทธิ ในการขอความ เป็นธรรม ให้กับ ตนเอง โดยถือว่า สามีเป็นผู้ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนแห่ง ศาสนาอิสลาม อย่างเหมาะสม ได้เช่นกัน

ประวัติศาสนาอิสลาม

อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การสวามิภักดิ์ ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่าง บริบูรณ์แด่อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ ศาสนา อิสลาม เป็นศาสนามนุษยชาติตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์จนถึง ปัจจุบันและอนาคต
.............. บรรดาศาสนทูตในอดีตล้วนแต่ได้รับมอบหมายให้สอนศาสนาอิสลาม แก่มนุษย ชาติ ศาสนทูตท่านสุดท้ายคือมุฮัมมัด บุตรของอับดุลลอหฺ แห่งอารเบีย ได้รับ มอบหมายให้เผยแผ่ สาร์นของอัลลอหฺในช่วงปี ค.ศ. 610 - 632 เฉกเช่นบรรพ ศาสดาในอดีต โดยมี มะลักญิบรีล เป็นสื่อระหว่างอัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้าและมุฮัมมัด พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทะยอยลงมา ในเวลา 23 ปีจันทรคติ ได้รับการรวบรวม ขึ้นเป็นเล่มมีชื่อว่า อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต มนุษย์ เพื่อที่จะได้ครองตน บนโลกนี้อย่างถูกต้องก่อนกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า




สาร์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์หลัก 3 ประการคือ: 
.............. 1. เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอหฺ พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่สมควรแก่การเคารพบูชาและภักดี ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ ศรัทธาในพระโองการแห่งพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก วันซึ่งมนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อรับการพิพากษา และรับผลตอบแทนของความดีความชั่วที่ตนได้ปฏิบัติไปในโลกนี้ มั่นใจและไว้วางใจต่อพระองค์ เพราะพระองค์คือที่พึ่งพาของทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จะต้องไม่สิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ และพระองค์คือปฐมเหตุแห่งคุณงามความดีทั้งปวง
.............. 2. เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ หรือนิติศาสตร์ อิสลามสั่งสอนให้มนุษย์อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ละเว้นการรบราฆ่าฟัน การทะเลาะเบาะแว้ง การละเมิดและรุกรานสิทธิของผู้อื่น ไม่ลักขโมย ฉ้อฉล หลอกลวง ไม่ผิดประเวณี หรือทำอนาจาร ไม่ดื่มของมึนเมาหรือรับประทานสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายและจิตใจ ไม่บ่อนทำลายสังคมแม้ว่าในรูปแบบใดก็ตาม
.............. 3. เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียมและความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
..............  ศาสนาอิสลามไม่ใช่ศาสดาที่วิวัฒนาการมาจากศาสนาอื่น หรือศาสนาที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นอย่างเช่นศาสนาอื่นๆที่มีอยู่ใน โลก อิสลามเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นทางนำในการดำรงชีวิตทุกด้าน แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้น อายุ เพศ เผ่าพันธ์ หรือฐานันด


สิ่งที่ต้องปฏิบัติในอิสลาม


สิ่งที่ต้องปฏิบัติในอิสลาม

ต้องเผยแพร่ศาสนา สัจธรรม
กำจัดสิ่งแหลมคมที่เป็นอันตรายออกจากทางเดิน
บอกทางแก่ผู้ที่หลงทาง
จงแต่งงาน และแต่งงานที่ดีที่สุดคือ การใช้จ่ายน้อย และวุ่นวายน้อยที่สุด
เมื่อเวลากู้ยืม จงให้ผู้กู้เป็นผู้เขียนสัญญา
จงกินและดื่มให้หมดภาชนะ อย่าให้เหลือ ฟุ่มเฟือย
เมื่อมีขบวนศพเคลื่อนผ่านมาจงยืนให้เกรียติศพนั้น
จงรักษาความสะอาด เพราะความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งแห่งการศรัทธา
เมื่อผู้มาเยี่ยมเยียนจะกลับบ้าน เจ้าของบ้านต้องออกไปส่งถึงประตู ถ้ามีรั้วให้ไปส่งถึงรั้ว
เมื่อจะทำกิจการใดๆ ที่เป็นผลดีต่อสังคม จงกระทำอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็ตาม
จงรักษาคำมั่นสัญญา
จงห่างไกลสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นสื่อชักนำไปสู่ความชั่วช้า
เมื่อจะทำกิจการใดๆ ต้องทำเพื่ออัลลอ์ พระองค์เดียวเท่านั้น
จงตรงต่อเวลาในการใช้หนี้สิน และจงผ่อนปรนลูกหนี้
จงจ่ายค่าแรงของผู้ใช้แรงงานก่อนที่เหงื่อของเขาจะแห้ง(จ่ายให้เร็ว)
จงช่วยกันขจัดความชั่วช้าที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ
เริ่มสอนอัลกุรอาน หนังสือ รวมทั้งมารยาทและจริยรรม แก่บุตรหลานตั้งแต่อายุย่างเข้าวัย 7 ขวบ และให้แยกที่นอนระหว่างเด็กหญิงและเด็กชาย
จงชักชวนมนุษย์ให้กระทำความดี และยับยั้งความชั่ว
ต้องต่อสู้ดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้มาซึ่งสัจธรรม
จงต่อสู้และขวนขวายเพื่อให้ชนะกิเลส และอำนาจใฝ่ต่ำของตน ฯลฯ


ข้อห้ามในอิสลาม

ห้ามตั้งหุ้นส่วนหรือภาคี หรือนำสิ่งใดมาเทียบเคียงกับอัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮูว่าตะอาลา
ห้ามกราบไหว้บูชาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รูปปั้น รูปภาพ ต้นไม้ ก้อนหิน จอปลวก แม่น้ำ ภูเขา ผีสางนางไม้ ตลอดจนวิญญาณต่างๆเช่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาลพระภูมิ  หรือเจ้าไม่มีศาล อิสลามไม่มีสิ่งสมมุติพวกนี้
ห้ามเชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง หมอดู ห้ามถือโชคลางของขลัง ฤกษ์ยามและไสยศาสตร์ ทั้งหลาย การทำเสน่ห์ เวทมนย์ ตะกรุด ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง เชื่อการทำนายโชคชะตา การทำนายฝัน ท่านนะบีมุฮัมมัด  กล่าวว่า " แท้จริงการเป่าคาถาอาคม การแขวนเครื่องรางของขลัง และการทำเสน่ห์ยาแฝดนั้น เป็นชิริก(ตั้งภาคี)"
ห้ามล่นการพนันทุกรูปแบบ ห้ามเสี่ยงทาย เสี่ยงโชค ห้ามเล่นการพนัน ห้ายซื้อขายหวยใต้ดินและสลากกินแบ่งรัฐบาล
ห้ามกินสัตว์ที่ตายเอง และสัตว์ที่มิได้เชือดด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ยกเว้น ปลา สัตว์น้ำ สัตว์ทะเล
ห้ามกินอาการอย่างฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย
ห้ามเสพ หรือขายสิ่งของมึนเมาทุกชนิด และสิ่งเสพติดทุกรูปแบบ
ห้ามผิดประวณีกับหญิง ไม่ว่าด้วยการยินยอม หรือสมัครใจ หรือการจ่ายค่าตอบแทน และห้ามอ่านหรือสนับสนุนสื่อ ที่นำพาไปสู่การผิดประเวณีและอบายมุข
ห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยเจตนา ปราศจากความเป็นธรรม (ฆ่าสัตว์เพื่อรับประทานได้ และฆ่าสัตว์ร้ายเพื่อปกป้องชีวิต)
ห้ามติดสินบนทุกชนิด
ห้ามสู่รู้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น และอย่านำเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นไปพูดหรือเปิดผย
ห้ามเฉยเมยเมื่อมีคนทักทาย
ห้ามบริโภคอาหารที่รู้ว่ามาจากการทุจริต
ห้ากระทำการใดๆที่สร้างความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น
ห้ามเข้าไปในบ้านของผู้อืนโดยมิได้รับอนุญาติ
ห้ามประกอบอาชีพที่ขัดต่อศีลธรรม คุณธรรม ซึ่งอาชีพเหล่านั้นจะนำไปสู่ความหายนะ
ห้ามทำแท้ง คุมกำเนิด เว้นแต่มีความจำเป็นที่ชอบด้วยบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม
ห้ามเป็นคนหลงชาติ หลงตระกูล
ห้ามกักตุนสินค้า ค้ากำไรเกินควร ห้ามขายสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ
ห้ามสตรีเปิดเผยอวัยวะทีพึงสงวน นอกจากใบหน้าและฝ่ามือ ห้ามแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบาง รัดทรวดทรงรูปร่าง ยั่วยวนเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญหาอาชญากรรม
ห้ามใช้เวลาและทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์
ห้ามร่วมประเวณีกับภรรยาขณะมีประจำเดือน
ห้ามเรียกผู้อื่นโดยฉายาแทนชื่อของเขา
ห้ามคบค้าสมาคมกับทรราชผู้กดขี่ คนเลว
ห้ามหนีทัพในขณะประจัญบาน
เมื่ออยู่ร่วมกันสามคน ห้ามคนสองคนพูดภาษาเดียวกันที่คนที่สามฟังไม่รู้เรื่อง หรือห้ามการซุบซิบในสองคนโดยมีคนที่สามอยู่ด้วย
ห้ามเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยทุกรูปแบบ ทุกชนิด
ห้ามถ่ายปัสสาวะ และอุจจาระลงในแม่น้ำลำคลอง
ห้ามอิจฉาริษยา
ห้ามเป็นพยานเท็จ
ห้ามบิดพลิ้ว ผิดสัญญา
ห้ามเบียดเบียนทรัพย์สินของเด็กกำพร้า
ห้ามสิ้นหวังในความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮูว่าตะอาลา
ห้ามสัมผัสมือกับผู้ที่แต่งงานได้
ห้ามผู้ชายทำตัวเลียนแบบผู้หญิง และห้ามผู้หญิงเลียนแบบผู้ชาย
ห้ามมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
ห้ามฆ่าตัวตายไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม
ห้ามมุสลิมใช้ภาชนะ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากทองคำและเงิน ฯลฯ

ข้อห้ามในอิสลาม


                                    ข้อห้ามในอิสลาม

วข้อห้ามในอิสลาม มาให้อ่านกันวันละนิดเพิ่มพูนอีหม่านค่ะ  เป็นของศูนย์ภาษาธรรม
1. ห้ามมุสลิมะฮฺยินยอมให้ผู้อื่นเข้าบ้านนอกจากจะได้รับอนุญาตจากสามี (ฏ็อบรอนีย์)
2. ห้ามมุสลิมะฮฺให้ร้ายสามีของตนในโลกดุนยา เพราะภรรยาของเขาที่เป็นนางสวรรค์จะกล่าวกับเธอว่า ขออัลลอฮฺทรงลงโทษเธอ แท้จริงแล้วเขาคือผู้ที่คลุกคลีอยู่กับเธอ แต่เกรงว่าเขาจะถูกพรากจากเธอมาหาเรา (ติรมีซีย์)
3. ท่านทั้งหลายอย่าได้รับประทานอาหารด้วยมือซ้ายเป็นอันขาด เพราะแท้จริงชัยฏอนนั้นรับประทานอาหารด้วยมือซ้าย (อิบนุ มาญะฮ)
4. พวกท่านอย่ากระทำแข่งกับอิมาม กล่าวคือ เมื่ออิมามตักบีรพวกท่านจึงตักบีรและเมื่ออิมามอ่าน วะลัฎฎอลลีน พวกท่านจงกล่าวอามีน เมื่ออิมามรุกูอพวกท่านก็จงรุกูอตาม เมื่ออิมามกล่าว สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ พวกท่านจงกล่าวว่า อัลลอฮุมมะร็อบบะนาวะละกันหัมอ และอย่าได้เงยศีรษะก่อนอิมามเป็นอันขาด (มุสลิม)
5. เมื่อมุสลิมะฮอยู่ด้วยกัน อย่าได้บรรยายรูปร่างของมุสลิมะฮฺด้วยกันให้สามีของตนเองฟัง เพราะเหมือนกับว่าสามีของนางกำลังมองไปยังเอาเราะฮฺของนาง (บุคอรีย์)
6.  พวกท่านอย่าได้เจาะจงเอาคืนของวันศุกร์เพื่อทำการนมาซ และอย่าได้ยึดการถือศีลอดเฉพาะวันศุกร์โดยไม่สนใจวันอื่นๆ นอกจากจะเป็นวันที่มีการกำหนดให้พวกท่านถือศีลอด (มุสลิม)
7.  พวกท่านอย่าได้ดูถูก (การตอบแทน) การทำดีในสิ่งหนึ่ง แม้กระทั่งเรื่องการพบพี่น้องของท่านด้วยใบหน้าที่เบิกบานก็ตาม (มุสลิม)
8.  มลาอิกะฮฺจะไม่เข้าบ้านที่มีรูปปั้นหรือรูปภาพแขวนอยู่ในบ้าน (มุสลิม)
9.  สูเจ้าทั้งหลายอย่าด่า ดำหนิเศาะหาบะฮของฉัน ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า แม้ว่าคนใดในหมู่พวกท่านจะบริจาคทองเท่ากับภูเขาอุฮุดก็ตาม ที่พวกเขาก็มิอาจมี (ความดีหรือตำแหน่ง) เทียงเคียงพวกเขาแม้แต่น้อย (มุสลิม)
10.  พวกท่านทั้งหลายอย่าด่าผู้ที่ตายไปแล้ว เพราะแท้จริงพวกเขาได้กลับไปสู่สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้แล้ว (บุคอรีย์)
11. สูเจ้าทั้งหลายอย่าด่ากาลเวลา เพราะแท้จริงอัลลอฮฺพระองค์คือกาลเวลา (บันทึกโดย อิหม่าม มุสลิม) 
12. สูเจ้าทั้งหลายอย่าด่าไก่ เพราะแท้จริง ไก่นั้นมันปลุกให้เรานมาซ (บันทึกโดย อบูดาวูด)
13. พวกท่านทั้งหลายอย่าให้สลามเหมือนการให้สลามของพวกยะฮูดีและนะศอรอ เพราะแท้จริง การให้สลามของพวกเขาคือการใช้สัญญาณมือเท่านั้น (บัยฮะกี)
14. พวกท่านทั้งหลายอย่าให้อาหารกับคนยากจน ในสิ่งที่พวกท่านไม่รับประทาน (บันทึกโดย  อะหมัด)
15. ท่านอย่าได้เล่าความฝันให้ใครฟัง  ยกเว้นผู้รู้ศาสนาหรือผู้ตักเตือน (ที่หวังดีเท่านั้น) (บันทึกโดย ติรมีซี)
16. พวกท่านทั้งหลายอยาได้เรียกมุนาฟิกว่า”เจ้านาย”  เพราะหากว่าเขาเป็นเจ้านายของพวกท่านตจริงแน่นอนแล้วพวกท่านได้ทำให้พระเจาของพวกท่านโกรธแล้ว (เรียกเหมือนประจบประจอ หรือให้เกียรติคนที่เรารุ้ว่ามุนาฟิก  ไม่เกี่ยวกับ ตำแหน่ง การงาน)
17. และพระผู้อภิบาลของเข้าได้บัญชาว่า พวกเจ้าอย่าได้อิบาดะฮฺต่อผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น  และจงทำดีต่อพ่อแม่ของพวกเจ้า  เมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือท่านทั้งสองล่วงลุถึงวัยชราอยู่กับพวกเจ้า ดังนั้นจงอย่ากล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า อุฟ! และอย่าตะคอกตะเพิดท่านทั้งสองและจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่สุภาพอ่อนโยน( กุรอาน ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ :  อายะห์ที่ 23 )
18. และจงให้สิทธิแก่ญาติใกล้ชิด ผู้ขัดสน (มิสกีน) และผู้เดินทาง และจงอย่าสุรุ่ยสุร่าย แท้จริงบรรดาผู้ที่สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพี่น้องของชัยฏอน และชั้ยฏอนนั้นเนรคุณต่อพระผู้อภิบาลของมัน ( กุรอาน ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ :  อายะห์ที่ 26-27 )
19. จงอย่าปล่อยให้มือของเจ้าเป็นห่วงที่คล้องคอของเจ้า(คือตระหนี่ถี่เหนียว)และจงอย่าแบมือออกจนเต็มเหยียด (คือใช้จ่ายอย่างไม่อั้น) มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะกลายเป็นผู้ถูกประณามและสิ้นเนื้อประดาตัว ( กุรอาน ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ :  อายะห์ที่ 29 )
20. เมื่อมีคนมาขอค้า (ราคาซื้อขาย)สุนัข จงเอาดินฝุ่นใส่มือเขาไปให้เต็ม (อบูดาวูด)
21.  เมื่อสตรีท่านใดจากพวกท่านออกไปมัสยิด  จงอย่าใส่ของหอมเป็นอันขาด (บันทึกโดย อะหมัด)
22.  เมื่อเข้าสิบวันแรก (วันที่ 1-10 ซุลฮิจญะฮฺ) และคนในหมู่พวกท่านต้องการทำกุรบาน  ก็จงอย่าแตะต้อง (ตัด โกน ถอน) ผม ขน ของเขา 
และสิ่งที่แรกว่าฟิฎเราะฮฺของเขา อันได้แก่ เล็บ ขนลับ ขนรักแร้ และหนวดเครา (บันทึกโดย มุสลิม) (จนว่าจะเชือดสัตว์เสียก่อน)
23.  เมื่อพวกท่านเห็นญะนาซะฮฺ(ศพมุสลิมที่เสียชีวิตแล้ว) พวกท่านจงยืน และผู้ใดตามไปส่งญะนาซะฮฺ ก็จงอย่านั่งจนกว่าญะนาซะฮฺจะถูกวางลง ( บันทึกโดย บุคอรี-มุสลิม)
24.  เมื่อคนใดจากพวกท่านเยี่ยมเยียนพี่น้องของพวกเขาและพักอยู่กับเขา จงอย่าเป็นอิหม่ามนะนมาซจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเขาเสียก่อน (บันทึกโดย อบูดาวูด)
25.  เมื่อคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านยืนนมาซจงอย่าปล่อยให้ใครเดินผ่านหน้าเด็ดขาด จงยับยั้งเขาเท่าที่มีความสามารถ หากเขาฝ่าฝืน จงต่อสู้กับเขา เพราะชัยฏอนอยู่กับเขาขณะนั้น (บันทึกโดย อะหมัด)
26. เมื่อคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านรู้สึกว่ามีการผายลมจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม  ถ้าเขาสงสัยจงอย่าเลิกนมาซจนกว่าจะได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นอย่างแน่ใจได้ (บันทึกโดย อบูดาวูด)
27.  หญิงใดที่ใส่น้ำหอมแล้วออกจากบ้าน  แล้วเดินผ่านกลุ่มชนเพื่อให้ได้กลิ่นน้ำหอมของเธอ ถือว่าเธอได้ทำซินาแล้ว (บันทึกโดย อะหมัด)
28.  ห้ามคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน  หวงห้ามเพื่อนบ้านในการต่อเติมอาคารติดกับบ้านของเขา (บันทึกโดย อะหมัด)
29. อย่าคุยกันตามลำพัง  โดยบุคคลที่สามอยู่ด้วยโดยไม่ได้ยิน  เพราะเป็นการกระทำที่ให้เขาเสียใจ (บันทึกโดย อบูดาวูด)
30. คนใดจากพวกท่าน  เวลาขอดุอาอย่าขอว่า โอ้อัลลอฮฺ อภัยให้ข้าพระองค์ด้วยถ้าพระองค์ทรงประสงค์  เมตตาข้าพระองค์ด้วยถ้าพระองค์ทรงประสงค์ ให้ปัจจัยยังชีพข้าพระองค์ด้วยถ้าพระองค์ทรงประสงค์   แต่จงตั้งใจขอ เพราะพระองค์ไม่ทรงกระทำในสิ่งถูกบังคับ แต่จะกระทำตามประสงค์ของพระองค์ (บันทึกโดย อะหมัด)
31. ไม่อนุญาตให้คนหนึ่งสั่งอีกคนหนึ่งให้ลุกจากที่นั่ง เพื่อเขาจะได้นั่งที่นั้น แต่จงให้มีการขยับขยายที่และเปิดทางให้กว้าง ๆ (อะหมัด)
32. ห้ามผู้ชายมองเอาเราะฮฺของผู้ชายด้วยกัน ห้ามผู้หญิงมองเอาเราะฮฺของผู้หญิงด้วยกัน ห้ามผู้ชายกับผู้ชายอยู่ในผ้าผืนเดียวกัน และห้ามผู้หญิงกับผู้หญิงอยู่ในผ้าผืนเดียวกัน (มุสลิม)
33. ห้ามคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน สัมผัสอวัยวะเพศของเขาด้วยมือขวาขณะปัสสาวะ อย่าเช็ด (ทำความสะอาด) ด้วยมือขวาและอย่าเป่าลงในภาชนะ (ขณะดื่ม) (มุสลิม)
34. ไม่อนุญาตให้ผู้ที่เอาของขวัญ หรือบริจาคแล้วเอากลับคืนนอกจากสิ่งที่พ่อแม่ให้กับลูก ซึ่งอุปมาผู้ให้แล้วเอากลับคืน อุปไมยดังสุนัขที่กินจนอิ่ม แล้วอาเจียนแล้วกลืนกลับเข้าไป (อะหมัด)
35. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าทำให้การบริจาคทานของสูเจ้าไร้ผลด้วยการลำเลิก และการก่อความเดือดร้อน เช่นผู้ที่บริจาคทรัพย์ของเขาเพื่ออวดอ้้้้้้้้้้้างผู้คน อีกทั้งเขาไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 264)
 36. แท้จริง บรรดาผู้ชอบที่จะให้เรื่องบัดสีแพร่หลายไปในหมู่ผู้ศัรทธานั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวด ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และอัลลอฮฺทรงรอบรู้และพวกเจ้าไม่รู้ (อันนูร : 19)
37. ใครปฏิบัติการงานใดที่ไม่ีำสั่งของเราถือเป็นโมฆะ (มุสลิม)
38. ผู้ใดโกหกต่อฉันโดยเจตนา ดังนั้นเขาจงเตรียมที่พำนักสำหรับตัวเขาในไฟนรก (บุคอรีย์-มุสลิม)
39. แท้จริง บรรดาผู้กล่าวโทษบรรดาหญิงบริสุทธิ์ หญิงไม่รู้เรื่องอะไร หญิงผู้ศรัทธา พวกเขาถูกสาปแช่งทั้งโลกนี้และโลกหน้า และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์ (อันนูร : 23)
40. พวกท่านพึงระวังเรื่องการคิดสงสัย แท้จริง การคิดสงสัยคือคำพูดที่โกหกที่สุด (บุคอรีย์-มุสลิม)
 

ศาสนาอิสลาม


            ศาสนาอิสลาม  เป็นศาสนาสำคัญศาสนาหนึ่งของโลก เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระอัลลอฮ์ โดยมีท่านนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดา และเป็นผู้ประกาศศาสนา ศาสนาอิสลาม ไม่มีพระหรือนักบวชเพื่อทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรม และเผยแผ่ศาสนาโดยเฉพาะ เช่น อิหม่ามก็เป็นเพียงผู้นำในการนมัสการพระเจ้าเท่านั้น มิใช่พระที่ทำหน้าที่เป็นกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ผู้นับถือ ศาสนาอิสลาม เรียกว่า “ มุสลิม ” มุสลิม ทุกคนต้องปฏิบัติศาสนากิจเหมือนกันหมด จึงไม่มีนักบวช และมิได้แบ่งแยกแนวทางปฏิบัติ ระหว่างศาสนิกชนกับนักบวช แม้แต่บุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น อิหม่าม หรือ ท่านจุฬาราชมนตรี ก็ถือว่าเป็นผู้นำทางศาสนกิจ และผู้นำมุสลิมในประเทศไทยเท่านั้น มิได้มีฐานะเป็นผู้นำนักบวชแต่อย่างใด
ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาหนึ่งที่มีผู้นับถืออยู่หลายล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันออกกลาง ประชาชนส่วนใหญ่จะนับถือ ศาสนาอิสลาม ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ในประเทศมาเลเซียมีผู้นับถือ ศาสนาอิสลาม มาก สำหรับประเทศไทยมีประชาชนที่นับถือ ศาสนาอิสลาม อยู่ทั่วไป แต่บริเวณที่มากที่สุด คือ ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา สตูล ปัตตานี และนราธิวาส

ประวัติความเป็นมา
ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่ถือกำเนิดขึ้นในนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย หลังพุทธศักราชประมาณ ๑,๑๑๓ ปี ผู้ที่นับถือ ศาสนาอิสลาม เรียกว่า มุสลิม แปลว่า ผู้แสวงหาสันติ หรือ ผู้นอบน้อมต่อประสงค์ของพระเจ้า
มุสลิม นับถือพระผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่า พระอัลลอฮ์ พระอัลลอฮ์ทรงเลือกบุคคลที่พร้อมด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง ในแต่ละยุคแต่ละสมัยให้เป็นศาสนทูตของพระองค์ มีหน้าที่นำข้อบัญญัติทางศาสนามาเผยแพร่แก่มวลมนุษย์ ศาสนทูตองค์สุดท้าย คือ นบีมุฮัมมัด ท่านเป็นอาหรับ กำเนิดที่เมืองมักกะฮ์ มารดาชื่อ อามีนะฮ์ เป็นชนในเผ่ากุร็อยชฺ ท่านศาสดาเป็นกำพร้าตั้งแต่เยาว์วัย ในเวลาต่อมาจึงต้องไปอยู่ในความอุปการะของอาบูฏอลิบผู้เป็นลุง โดยช่วยลุงเลี้ยงปศุสัตว์ ค้าขาย และทำงานอื่นๆในครอบครัว เมื่อโตเป็นหนุ่ม ได้ไปทำงานกับนางคอดีญะฮ์ เศรษฐีม่าย โดยท่านทำหน้าที่ควบคุมกองคาราวานสินค้า ไปขายยังประเทศใกล้เคียง ซึ่งในเวลาต่อมาทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน มีบุตรธิดาด้วยกัน ๖ คน
          ในสมัยที่ท่านศาสดาถือกำเนิดนั้น สังคมอาหรับอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมมาก ผู้คนมั่วสุมดื่มน้ำเมาและเล่นการพนัน การละเมิดประเวณีเกิดขึ้นเป็นประจำ มีการฝังเด็กหญิงทั้งเป็นเพราะถือว่าเป็นสิ่งอัปมงคล การแก้แค้นด้วยการประหัตประหารเป็นเรื่องปกติผู้คนงมงายกับการบูชารูปเคารพ และการประกอบพีกรรมต่างๆ ที่สิ้นเปลืองและไร้สาระ ท่านศาสดาพยายามหาหนทางแก้ปัญหาในสังคมที่ท่านพบเห็นอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ท่านหลบไปหาความสงบวิเวก ในถ้ำบนภูเขาอิรอฮ์ เทวทูตญิบรออีลก็ได้นำโองการของพระเจ้า (พระอัลลอฮ์) มาประทานแก่ท่าน ท่านศาสดามุฮัมมัดจึงเริ่มประกาศศาสนา คนแรกที่เข้ารับนับถือ ศาสนาอิสลาม ก็คือ นางคอดีญะฮ์ ผู้เป็นภรรยา การประกาศศาสนาช่วงแรกเต็มไปด้วยความยากลำบากและถูกต่อต้านเพราะ ศาสนาอิสลาม ทำให้ผู้มีอิทธิพลเสียผลประโยชน์ รวมทั้งให้คนทั่วไปซึ่งนับถือรูปเคารพต่างๆ ขัดเคือง
          หลังจากประกาศศาสนาได้ ๑๓ ปี ท่านศาสดา และสาวกได้ลี้ภัยจากการตามล้างผลาญของชาวเมืองมักกะฮ์ โดยไปอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์ ปีที่ท่านศาสดามุฮัมมัดอพยพมาอยู่เมืองมะดีนะฮ์นี้ ถือเป็นการเริ่มต้นนับศักราช อิสลาม เรียกว่า ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๑๑๗๓ ท่านศาสดาก็สามารถรวบรวมผู้คนกลับไปยึดเมืองมักกะฮ์ไว้ได้ โดยปราศจากการสู้รบให้เสียเลือดเนื้อ ท่านศาสดาให้ทำลายรูปเคารพต่างๆ และประกาศนิรโทษกรรมแก่ชาวเมืองที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อท่าน หลังจากนั้นท่านศาสดามุฮัมมัดก็ได้กลับไปเมืองมะดีนะฮ์ ต่อมาภายหลังชนอาหรับเผ่าต่างๆ และประเทศข้างเคียงก็ได้ส่งทูตเข้ามาขอเป็นพันธมิตรบ้าง เพื่อขอรับนับถือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลาม จึงได้แพร่ขยายไปทั่วดินแดนตะวันออกกลาง อินเดีย และที่อื่นๆ นับตั้งแต่บัดนั้น
          ท่านศาสดามุฮัมมัด ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๑๑๗๕ ตรงกับ ฮ.ศ. ๑๑ ในขณะที่ท่านศาสดามีชีวิตอยู่ตั้งแต่เป็นเด็กเลี้ยงแพะ จนกระทั่งเป็นศาสดา และเป็นประมุขแห่งประชาชาติอาหรับ ท่านได้ดำรงตนเป็นผู้เสมอต้นเสมอปลาย อยู่ง่าย กินง่าย มีเมตตากับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ยากไร้ และต่ำต้อย ท่านไม่ถือยศถือศักดิ์ มีกำลังใจเข้มแข็ง มีความยุติธรรม และความซื่อสัตย์เป็นเลิศจนได้รับฉายาตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มว่า “อัลลามีน” ซึ่งแปลว่า ผู้ซื่อสัตย์

นิกายสำคัญ
ใน ศาสนาอิสลาม การแยกนิกาย มิได้อยู่ที่ความขัดแย้งเกี่ยวกับความเชื่อในหลักคำสอน หรือในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่อยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นสำคัญ กล่าวคือ ก่อนสิ้นชีวิต ท่านเป็นศาสดามูฮัมมัดมิได้ตั้งใครเป็นทายาทสืบแทน หลังมรณกรรมของท่าน ก็มีปัญหาเรื่องการตั้งผู้นำโลกมุสลิม ซึ่งเป็นทั้งผู้นำศาสนจักร และอาณาจักรในเวลาเดียวกัน เหมือนกับที่ท่านศาสดาเคยเป็นกลุ่มคอวาริจญ์เห็นว่าควรเลือกตั้ง กลุ่มชีอะห์ว่าควรเอาผู้สืบเชื้อสายของท่านศาสดา
เหตุการณ์ขัดแย้งเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มศาสนาขึ้นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับกลุ่ม คอวาริจญ์ เรียกว่า ซุนนะห์ ( คนไทยเรียกสุหนี่ ) กลุ่มนี้ไม่เป็นทั้งพวกคอวาริจญ์ และชีอะห์ แต่เป็นพวกที่ถือแนวของอัล - กุรอาน และซุนนะห์ ( ซุนนะห์ หมายถึง แบบแผนที่ได้จากจริยวัตร และโอวาทของท่านศาสดามุฮัมมัด )

โดยสรุปนิกายต่างๆ ของศาสนาอิสลามมีดังนี้
๑) นิกายซุนนีหรือซุนนะห์ เคร่งครัดการปฏิบัติตาม คัมภีร์อัล-กุรอาน และซุนนะห์เท่านั้น และยอมรับผู้นำ ๔ คนแรก ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดท่านศาสดา มุสลิมส่วนใหญ่ในโลกรวมทั้งประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทยนับถือนิกายนี้
๒) นิกายชีอะห์ ชีอะห์ แปลว่า พรรคพวก หมายถึง พรรคพวกท่านอาลีนั่นเอง นิกายนี้ถือว่าท่านอาลี บุตรเขยของศาสดามูฮัมมัดคนเดียวเท่านั้นเป็นผู้ที่ถูกต้อง ผู้ถือนิกายนี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอิหร่าน อิรัก เยเมน อินเดีย และประเทศในทวีปแอฟริกาด้านตะวันออก
๓) นิกายคอวาริจญ์ ถือว่าผู้จะเป็นคอลีฟะห์นั้น ต้องมาจากการเลือกตั้งเสรี นิกายนี้มีผู้นับถือมากในแอลจีเรีย โอมาน คาบสมุทรอาระเบียตอนใต้
๔) นิกายวาฮาบี ตั้งขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ถือว่า พระคัมภีร์อัล-กุรอานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่ยอมรับการตีความ ในเรื่องศาสนาของผู้ใดเคารพพระอัลลอฮ์องค์เดียว ไม่นับถือใครอื่น ไม่เชื่อว่าท่านศาสดามูฮัมมัด เป็นผู้แทนพระอัลลอฮ์ ไม่มีการฉลองวันประสูติของท่านศาสดา ห้ามของฟุ่มเฟือยทุกชนิด นิกายนี้เป็นกลุ่มเล็กๆ มีอยู่บ้างในอินเดีย และแอฟริกาตะวันออก

คัมภีร์ทางศาสนา
          คัมภีร์ทาง ศาสนาอิสลาม เรียกว่า คัมภีร์อัล-กุรอาน คัมภีร์นี้ถือว่าเป็นวจนะของพระเจ้า ที่ได้ประทานแก่มวลมนุษย์ผ่านทางท่านศาสดานบีมุฮัมมัด ซึ่งเป็นบุคคลที่พระเจ้าอัลลอฮ์ทรงเลือกให้ทำหน้าที่ประกาศศาสนา และเป็นผู้นำในการปฏิบัติศาสนกิจตามคำสอนของพระองค์ พระอัลลอฮ์ประทานคัมภีร์แก่ท่านศาสดาโดยการดลใจ การทำให้เห็นภาพเวลาตกอยู่ในภวังค์ และการส่งเทวทูตมาพร้อมกับโองการ ท่านศาสดาได้รับโองการจากพระอัลลอฮ์เป็นระยะๆ ร่วมเวลาทั้งสิ้น ๒๓ ปี เมื่อได้รับโองการมาก็ให้สาวกจดจารึกลงบนหิน หนังสัตว์ และอื่นๆ เก็บไว้
          คัมภีร์อัล-กุรอาน แปลว่า คัมภีร์สาธยายมนต์ มี 30 ภาค 114 บท เป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับบุคคลและสังคม มีคำสอนเกี่ยวกับการทำความดี การดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน การแต่งงาน ความตาย อาชีพ การทำมาหากิน รวมทั้งมีเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย และสังคมไว้อย่างครบถ้วน
          ภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์อัล-กุรอาน คือ ภาษาอาหรับ ข้อความในคัมภีร์เป็นภาษาที่ไพเราะ มิใช่ร้อยแก้ว และมิใช่ร้อยกรอง แต่ก็มีสัมผัสในแบบของตัวเอง คัมภีร์แบ่งออกเป็น 114 บท แต่ละบทแบ่งเป็นโองการหรือวรรค มีทั้งหมด 6,000 โองการ ปัจจุบันนี้ได้มีการแปล คัมภีร์อัล-กุรอาน เป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ชาว มุสลิม ถือว่าคัมภีร์นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะทุกคำ ทุกตัวอักษร เกิดจากพระอัลลอฮ์ และเป็นความจริงที่บริสุทธิ์ และเป็นธรรมนูญสำหรับชีวิต

หลักคำสอนพื้นฐาน
ศาสนาอิสลาม มีพิธีกรรม และหลักคำสอนเพื่อให้ปฏิบัติตามดังนี้
๑ ) หลักศรัทธา ๖ ประการ ได้แก่
( ๑ ) ศรัทธาต่อพระอัลลอฮ์ มุสลิม เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้เป็น มุสลิม จะต้องศรัทธาต่อพระอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว
( ๒ ) ศรัทธาต่อเทพบริวารของพระอัลลอฮ์ (เทวทูต) คือ ผู้รับใช้พระเจ้าซึ่งมีจำนวนมากมีหน้าที่ต่างๆ กัน เทวทูตเป็นคนกลางทำหน้าที่สื่อสาร ระหว่างท่านนบีมุฮัมมัดกับพระเจ้า กล่าวคือ ท่านนบีมูฮัมมัด ได้รับโองการจากพระเจ้าโดยทางเทวทูต ซึ่งเรียกว่า “ มลาอีกะฮ์ ” เป็นวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ตามบัญชาของพระอัลลอฮ์
(๓ ) ศรัทธาในพระคัมภีร์ทั้งหลาย คือ คัมภีร์ที่พระเจ้าได้ประทานมาก่อนหน้านี้ 104 คัมภีร์ ซึ่งรวมทั้งคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาคริสต์ แต่ให้ถือว่าคัมภีร์อัล-กุรอาน เป็นคัมภีร์สุดท้าย และสมบูรณ์ที่สุด ที่พระเจ้าได้ประทานพรลงมาให้แก่มนุษยชาติ โดยผ่านทางศาสดามุฮัมมัด
( ๔ ) ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต ศาสนทูตเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่พระเจ้าได้เลือกสรรว่าเป็นคนดี เหมาะแก่การที่จะเป็นผู้ประกาศศาสนา ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตองค์สุดท้าย
( ๕ ) ศรัทธาในวันพิพากษา คือ วันสุดท้ายของโลก ชาว มุสลิม เชื่อว่าโลกมีวันแตกดับ เมื่อถึงวันนั้นมนุษย์ทุกคนต้องตาย และจะถูกทำให้ฟื้นขึ้นมา เพื่อพิจารณาโทษ ด้วยการสอบสวนพิพากษาตามความดีความชั่วที่ตนได้กระทำไว้
( ๖ ) ศรัทธาในการกำหนดสภาวะของโลก และชีวิต ว่าเป็นไปตามเจตจำนงของพระอัลลอฮ์


( ๒ ) หลักปฏิบัติ ๕ ประการ
          การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาของ ศาสนาอิสลาม จะปฏิบัติในสถานที่ที่เรียกว่า “ มัสยิด ” หรือ “ สุเหร่า ” ชาว มุสลิม จะต้องปฏิบัติศาสนกิจให้พร้อมทั้ง ๓ ทาง คือ กาย วาจา และใจ หลักปฏิบัติสำคัญใน ศาสนาอิสลาม ๕ ประการ ได้แก่
( ๑ ) การปฏิญาณตน มุสลิม ต้องกล่าวปฏิญาณว่า “ ข้าพเจ้า ขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูต ( รอซูล ) ของอัลลอฮ์ “ การปฏิญาณนี้เปรียบเสมือนหัวใจของ ศาสนาอิสลาม ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมิใช่ทำครั้งเดียว แต่ต้องทำเสมอเมื่อนมัสการพระเจ้า (ละหมาด)
( ๒ ) การละหมาด คือ การนมัสการ หรือ การแสดงความเคารพต่อพระเจ้า ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ชาว มุสลิม ทุกคนจะต้องปฏิบัติละหมาดวันละ ๕ เวลา คือ ย่ำรุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่ำ และกลางคืน ซึ่งก่อนทำละหมาดจะต้องชำระร่างกายให้สะอาด และสำรวมจิตใจให้สงบ
( ๓ ) การถือศีลอด หมายถึง การละเว้นจากการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม การร่วมสังวาส ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน มุสลิม จะต้องถือศีลอดปีละ ๑ เดือน คือ ในเดือนรอมาฎอนตามปฏิทินของอิสลาม ผู้ที่ได้รับการผ่อนผันไม่ต้องถือศีลอด ได้แก่ คนชรา หญิงมีครรภ์ แม่ลูกอ่อน คนที่ต้องทำงานหนัก คนเดินทางไกล หญิงขณะมีรอบเดือนหรือหลังคลอด คนป่วย การถือศีลอดเป็นการแสดงถึงความศรัทธาในพระเจ้า ฝึกความอดทน และความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
( ๔ ) การบริจาคซะกาต หมายถึง การบริจาคทานให้แก่คนที่เหมาะสม ตามที่ศาสนากำหนด เช่น คนอนาถา เด็กกำพร้า คนขัดสน ผู้เผยแผ่ศาสนา การบริจาคซะกาต เป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติ ชาว มุสลิม หรือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องสละทรัพย์ของตนในอัตราร้อยละ ๒.๕ เพื่อแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น เป็นการกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
( ๕ ) การประกอบพิธีฮัจญ์ หมายถึง การไปประกอบศาสนกิจ ณ ศาสนสถานบัยตุลลอฮ์ เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย การประกอบพิธีฮัจญ์ไม่ได้บังคับให้ชาว มุสลิม ต้องกระทำ แต่ให้ถือเป็นหลักปฏิบัติสำหรับผู้ที่พร้อม และมีความสามารถ คือ บรรลุนิติภาวะ มีสุขภาพดี มีทุนทรัพย์เพียงพอ และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจญ์เป็นอย่างดี


วันสำคัญทางศาสนา
          วันสำคัญของ ศาสนาอิสลาม ได้แก่ วันแรกของเดือนรอมาฎอน โดยการดูดวงจันทร์ในตอนพลบค่ำของวันที่ ๒๙ ของเดือนที่ ๘ (ตามปฏิทินอิสลาม) หากปรากฏว่าไม่เห็นดวงจันทร์ ต้องถือวันถัดไปอีกวันหนึ่งเป็นวันแรกของเดือนรอมาฎอน