วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته

ภรรยาที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ รักอัลลอฮฺยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด มากกว่าใคร ใคร ในโลก มากกว่าบิดา มารดา มากกว่าสามี และลูกๆ ภรรยาที่รักท่านร่อซูล(ซ.ล) ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่าน เจริญรอยตามวิถีชีวิตของบรรดาอุมมะฮาต อัล-มุอฺมินีน "มารดาแห่งเหล่าศรัทธาชน" ภรรยาที่รักชีวิตครอบครัว มีความเป็นกุลสตรี ต้องการเป็นแม่บ้านที่ดี ด้วยเหตุที่เธอรู้ว่า.....นั่นคือการญิฮาดของเธอ ภรรยาที่ศึกษาอัล-กุรอาน และใช้ชีวิตไปตามครรลลองของอัลกุรอาน เพื่อที่เธอจะได้เป็นแม่บ้านที่ดี เป็นที่สุขตาสุขใจของฉัน ตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะฉันรู้ดีว่า อัลกุรอาน จะขัดเกลาให้เธอ เป็น หญิงที่ประเสริฐ เป็น ภรรยาที่น่ารัก เป็นแม่ที่รู้จักการเลี้ยงลูก เป็นผู้ผูกสายสัมพันธ์ของครอบครัว เธอรู้ไหม? ว่า....ท่านร่อซูล(ซ.ล) กล่าวถึงพวกเธอไว้อย่างไร



ท่านบอกว่า... "ดุนยาล้วนเต็มไปด้วยความสุขสันต์ แต่สุดยอดของความสุขสันต์บนโลกดุนยานี้คือ....ภรรยาที่ดี



ใช่แล้ว....ภรรยาที่ดี คือความใฝ่ฝันของชายผู้ศรัทธาทุกคน คือเจตจำนงของอัล-อิสลาม ภรรยาที่มอบสิทธิการเป็นผู้นำให้กับสามี เพื่อการจัดวางระบบครอบครัวให้มีระเบียบ มีผู้นำ มีผู้ตาม อัลลอฮฺ(ซ.บ) ทรงตรัสว่า: "บรรดาชายนั้นคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขา เหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไป จากทรัพย์สินของพวกเขา" (อัลกุรอาน 4:34) และท่านร่อซูล(ซ.ล) ยังได้กล่าวอีกว่า "เพียงแค่นางละหมาดครบห้าเวลา ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน รักษาพรหมจรรย์ของนาง และเชื่อฟังสามีของนาง นางจะเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ ตามที่นางต้องการ" (ศอเหี้ยะ)



ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหม การที่เธอจะได้เป็นหนึ่งจากชาวสวรรค์ จงภูมิใจเถิดที่เธอจะได้เป็นผู้ทวนกระแส ในวจนะที่กล่าวว่า "ในนรกจะมีสตรีมากกว่าบุรุษ"



การเป็นภรรยา สตรีทุกคนทำได้ แต่การเป็นภรรยาที่ดี.. สตรีผู้ศรัทธาเท่านั้น ที่จะทำได้ เพราะเธอมีอัลกุรอาน และหะดีษ เป็นธรรมนูญ เธอจึงเป็น ภรรยาที่ สามีมองแล้วเย็นตาเย็นใจ ฟังเสียงแล้วรื่นรมย์ ได้กลิ่นแล้วหอมหวาน สัมผัสแล้วอ่อนโยน คิดถึงแล้วสุขใจ เธอจึงเป็นภรรยาที่ทำให้สามีรู้สึกว่า ตัวเองคือผู้มีความสุขที่สุดในโลก



อิสลามสอนให้สามีต้องเป็นคน "ขี้หึง" เปล่า..ไม่ใช่หึงหวงแบบไร้เหตุผล หรือตามอารมณ์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่มันคือความหึง....หวง....และห่วงใย ยอมไม่ได้ที่เธอจะผิดหลักการ



ดังนั้นเธอจงละหมาดครบ 5 เวลา ขอเธอจงคลุมฮิญาบ ขอเธอจงอย่าสนทนาหรือให้คนแปลกหน้าเข้ามาบ้าน ขอเธอจงอย่าออกนอกบ้านโดยที่สามีไม่รู้ ขอเธอจงอย่าเอ่ยถึงชายอื่นต่อหน้าสามี ขอเธอจงอย่าแต่งตัวสวยนอกจากเพื่อฉันเท่านั้น โปรดอย่าได้ตำหนิว่าฉันขอมากไป หรือบังคับเข้มงวด เพราะถ้าฉันไม่ขอร้องเธออย่างนี้ ก็หมายความว่า ฉันไม่หึงหวงและห่วงใยเธอ เธอ...จะมาเป็นคู่ชีวิตของฉัน คู่ชีวิตที่หมายถึงผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข



ขอให้เธอเป็นคนแรกที่จะยินดีในความสำเร็จของฉัน และเป็นคนแรกที่จะเสียใจในความล้มเหลวของฉัน เป็นคนเดียวที่ยืนเคียงข้างฉัน ยามที่ฉันเผชิญกับปัญหา "นี่แหล่ะคู่ชีวิต"ฉันพยายามเต็มที่ในการสร้างฐานของครอบครัว ขอเพียงกำลังใจจากเธอ ขอเธอจงอดทนในยามที่ฉันยากจน และขอเธอมัธยัสถ์ในยามที่ฉันมั่งมี แล้วเธอจะเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ



ก่อนที่ฉันจะเลือกเธอเป็นคู่แต่งงาน ฉันไม่ได้มองแค่ให้เธอมาเป็นภรรยา แต่ฉันมองหา "แม่ของลูก" เพราะเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่การสร้างครอบครัว แต่ฉันมีความมุ่งหมายจะสร้างสังคม สร้างประชาชาติอันดียิ่งให้กับท่านนบีมูฮัมมัด



ดังนั้น สมาชิกของประชาชาติอิสลาม ต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดีงาม และเธอคือแหล่งกำเนิดที่ฉันได้เลือกสรรแล้ว ฉันจึงฝากฝังให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลานที่ดี ช่วยฉันในการอบรมดูแลพวกเขา แน่นอนเธออาจจะต้องผูกพันใกล้ชิดพวกเขามากกว่าฉัน เธอจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ในกิจการอันยิ่งใหญ่นี้



ดังนั้นเธอจงช่วยฉันทำให้เขาเป็นคนดีของพระองค์ ไม่ตั้งภาคี...ดำรงการละหมาด...อดทน..ไม่เย่อหยิ่ง แล้วเราจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ ณ พระองค์ ในวันแห่งการตอบแทน เราไม่ได้แต่งงานกันเพื่อที่อยู่กันเพียงสองคน แต่เราแต่งงานกันเพื่อก่อให้เกิดคำว่า "เครือญาติ" เพื่อสร้างความเกี่ยวดอง ความเป็นพี่น้อง และความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชาติ



ดังนั้น เมื่อคนสองคนแต่งงาน จะมีคนอีกอย่างน้อยสองตระกูลมาเกี่ยวพันกัน นี่คือผลงานชิ้นแรกที่คู่แต่งงานได้ช่วยกันสร้างขึ้น สิ่งที่ทั้งสองต้องทำต่อไปคือ ดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์นี้ ด้วยการให้เกียรติเครือญาติของกันและกัน เพราะเครือญาติมีส่วนสำคัญมากมาย ในการที่จะทำให้คู่ของทั้งสองคนดำรงอยู่ต่อไป หรือ..... ล่มสลาย เพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต อะไรที่เธอปรารถนา มันคือสิ่งที่ฉันปรารถนาเช่นกัน อะไรที่รู้สึก มันก็คือความรู้สึกของฉัน เราจะดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งความรู้สึกของร่างกาย และความปรารถนาของหัวใจ สิ่งใดที่เธอสุขใจ ฉันจะขวนขวายทำมันให้เต็มที่ สิ่งใดที่เธอไม่พอใจ ฉันจะหลบลี้หนีห่าง ขอเพียงเธอเอาใจใส่ความรู้สึกของฉัน ให้เกียรติฉัน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง



ให้เธอเป็นนำเย็น ยามที่ฉันเป็นไฟ และฉันก็เช่นกัน จะเป็นน้ำเย็นยามที่เธอเป็นไฟ

วันอีด

วันอีด
     วันตรุษ ในอิสลามมี 2 วันคือ วันอีดฟิฎร และ วันอีดอัฎฮา จะตรงกับวันที่ 1 เดือนเชาวาล และวันอีดอัฎฮาจะตรงกับวันที่ 10 ของเดือนซุลฮิจญะฮ วันตรุษทั้ง 2 นี้ อัลลอฮได้ทรงกำหนดให้เป็นวันรื่นเริงของมุสลิม ดังหะดิษที่รายงาน โดยท่านนะซาอียจากท่านอนัส อิบนิมาลิก รฎิฯ กล่าวว่า ท่านร่อซูล (ซ.ล.) ได้เดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ ก็พบว่าชาวเมืองมีวันรื่นเริงอยู่ 2 วัน ท่านร่อซูล(ซ.ล.) จึงถามว่า วันทั้ง 2 นี้เป็นวันอะไร พวกเขาตอบว่า พวกเราได้เคยรื่นเริงสนุกสนานกันใน 2  วันนี้ ในสยัมญาฮิลียะฮ. ท่านร่อซูลจึงกล่าวว่า “ แท้จริงอัลลอฮฺ ได้ทรงเปลี่ยนวันทั้ง 2  ให้แก่พวกท่าน ด้วยวันที่ดีกว่า คือ วันอีดฟิฎร และวันอีดอัฎฮา” แม้ว่าวันอีดทั้ง 2   จะเป็นวันรื่นเริงก็ตาม แต่ท่านนบีก็ได้กำหนดแบบอย่างในการปฏิบัติอิบาดะฮฺ ต่ออัลลอฮฺไว้ด้วยคือ การกล่าวตักบรี การละหมาดอีด และ การรื่นเริงนั้น จะต้องอยู่ในขอบข่ายของศาสนบัญญัติ
การปฏิบัติตนในวันอีด
1. ห้ามถือศีลอดในวันอีดอมัร อิบนุ อัล – ศ็อฏฏอบ กล่าวในคุฎบะฮดีดว่า “ โอ้ พวกท่านทั้งหลายแท้จริงท่านรอซูล (ซ.ล.) ได้ห้ามพวกท่านไม่ให้ถือศีลอดในสองวันอีดวันแรกเป็นวันที่พวกท่านออกจากการถือศีลอด และอีกวันหนึ่งเป็นวันที่พวกท่านกินเนื้อกรุบาน
2. กล่าวตักบีรฺ ตักบีรฺเป็นคํากล่าวหลักของวันอีดทั้งสอง ดังนั้นจึงต้องกล่าวตักบีรฺให้มากๆ ในคืนวันอีดทั้งสอง ทั้งที่บ้าน ในมัสญิด และตามถนนหนทาง เพื่อเป็นการป่าวประกาศไปทั่วทุกซอกซอ ซึ่งชัยชนะและความต้อนรับการมาเยือนของวันอีด
3. จ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺและเชือดสัตว์กุรบาน
4. อาบน้ำชําระร่างกาย
    ซุนนะฮฺให้อาบน้ำชําระร่างกายช่วงเช้าตรู่ของวันอีด และขจัดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกจากร่างกาย ( เช่น ขจัดขนลับ ตัดเล็บ ตกแต่งหนวด และทรงผมเป็นต้น)
5. พรมน้ำาหอม ควรพรมน้ำหอมให้มีกลิ่นฟุ้งตามร่างกาย ดังที่อิบนุอุมัรฺ ได้ปฏิบัติไว้ส่วนสตรีไม่ส่งเสริมให้พรม น้ำหอมที่มีกลิ่นฟุ้งช่วงที่เดินทางสู่สนามละหมาด เพื่อป้องกันฟิตนะฮฺ หรือความเสื่อมเสียที่ อาจเกิดขึ้น กับนาง
6. แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามและดูดีที่สุด แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดีที่สุด และใหม่ที่สุดเท่าที่จะหาได้
7. รับประทานก่อนละหมาด 
8. เดินทางสู่สนามละหมาดเวลาออกสู่สนามละหมาด ท่านนบี(ซ.ล.) กล่าวในคุฏบะฮฺวันอีดิลอัฎฮาว่า "แท้จริงสิ่งแรกที่ พวกเราต้องปฏิบัติในวันนี้คือ ละหมาดอีด
9. ละหมาดอีด การละหมาดวันอีดเป็นบทบัญญัติและเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในศาสนาอิสลาม ดังจะเห็น ได้จากการปฏิบัติเป็นประจําของท่านนบี และยังกําชับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ให้ออกสู่สนามละหมาดอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้กระทั่งทาสหญิง สตรีสาวสวย สตรีที่มีประจําเดือนและเด็กๆ ก็ยัง ถูกสั่งกําชับให้พา พวกเขาออกสนามละหมาด เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานและตักตวงความสุขและสนุกสนาน อย่างพร้อมหน้ากัน และต้องมีการละหมาดแบบญะมาอะฮฺเท่านั้น






วันเมาลิด

เมาลิด
     เมาลิด เป็นคำนามเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งจะแปลความหมายเป็นเวลา หรือสถานที่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับ ส่วนขยายภายในประโยค  ดังนั้น เมาลิด หมายถึง สถานที่เกิดของท่านนบีอย่างแน่นอน 

เมาลิดนบีตรงกับวันอะไร 
     นักวิชาการต่างมีความเห็นตรงกันว่า นบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เกิดในวันจันทร์เดือน รอบีอุลเอาวัล ปีช้าง เพราะท่าน อิมามมุสลิมได้บันทึกหะดีษไว้ในหนังสือ ซ่อเฮียหของท่านจาก อบีกอตาดะฮรฎิฯ ว่าท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกถามเกี่ยวกับ การถือศีลอดในวันจันทร์ ท่านกล่าวว่า “นั่นคือวันที่ฉันเกิด วันที่ฉันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี และเป็นวันที่อัลกรุอานได้ถูกประทาน มายังฉัน”  แต่จะตรงกับวันที่เท่าไหร่นั้น นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกัน ท่านอิบนุอิสหาก ผู้บันทึกชีวประวัติของท่านนบีคนแรกมีความเห็นว่า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เกิดในวันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ท่านอิบนุฮิชาม ได้รายงานอยู่ในหนังสือชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซีเราะฮ.อิบนิฮิชาม)

การย่อย่องวันเกิดของท่านนบีมุฮัมหมัด
 
     ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ให้แบบอย่างในการย่อย่องวันเกิดของท่าน ดังปรากฎในหะดีษ ซึ่งรายงาน โดยท่านอิมานมุสลิม ซึ่งได้หยิบยกมากล่าวแล้วข้างต้น คือ การถือศีลอดในวันจันทร์ ขณะเดียวกัน ท่านหญิงอาอิซะฮ. ท่านอบูฮุรอยเราะฮ. และท่านอุซามะฮ อิบนุเซด ได้กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ชอบถือศีลอดในวันจันทร์เมื่อท่านถูกถามเกี่ยวกับการนี้ ท่านกล่าวว่า “นั่นเป็นวันที่ฉันเกิด และได้มีการ แต่งตั้งการเป็นนบีแก่ฉัน” นอกจากนั้นท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ  ยังได้รายงานหะดีษจากท่านรอซูล (ซ.ล.) ว่าท่านได้ถือศีลอดในวันจันทร์และวันพฤหัส เมื่อท่านได้ถูกถาม เกี่ยวกับการนี้ ท่านกล่าวว่า “ การงานจะถูกนำเสนอ ยังอัลลอฮฺ ในวันจันทร์และวันพฤหัส ดังนั้นฉันจึงชอบที่จะให้การงานของฉันถูกนำ เสนอขณะที่ฉันถือศีลอด”  บันทึกโดย อัตติรมีซียฺ และท่านกล่าวว่าเป็นหะดีษหะซัน การให้เกียรติและ การมีความรักต่อท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.)   ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) เป็นผู้ที่สมควรจะ ได้รับการให้เกียรติ ยกย่อง เนื่องจากว่าท่านเป็นศาสดา ที่มีความสำคัญของโลก ในขณะเดียวกันท่านได้รับากรย่อย่อง จากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมว่า เป็นผู้ที่มีความยิ่งใหญ่ คนหนึ่งของโลก ดังนั้นหน้าที่ของมุสลิม ก็จำเป็นจะต้อง ให้เกียรติยกย่องท่าน รำลึกคุณงามความดีของท่าน อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และท่านนบี (ซ.ล.) ได้ให้แบบอย่าง ในการให้เกียรติยกย่องท่านไว้ในหลายรูปแบบด้วยกันคือ
การย่อย่องวันเกิดของท่านนบีมุฮัมหมัด
1. การดำเนินตาม การปฏิบัติในวันเกิดของท่าน คือ การถือศีลอดในวันจันทร์
2. การมีความรักต่อท่านร่อซูล (ซ.ล.) เพราะการมีความรักต่อท่านร่อซูลนั้นคือ สิ่งที่แสดงถึงการมีอีมาน ของเขา
3. การกล่าวซอลาวาตต่อท่านนบี (ซ.ล.) ส่วนหนึ่งจากการให้เกียรติยกย่องและมีความรักต่อท่านนบีคือ การกล่าวซอลาวาตต่อท่านนบี (ซ.ล.)
4. การปฏิบัติตามคำสั่งใช้และการละเว้นที่จะปฎิบัติตามคำสั่งห้ามของท่านนบี
5. ดำเนินตามแบบอย่างของท่านนบี (ซ.ล.)
การจัดงานเมาลิด
     มุสลิมในบางสังคมได้แสดงออกถึงความรัก การให้เกียรติยกย่อง ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) โดยจัดงานคล้ายวันเกิดของท่านขึ้น ณ ที่นี้สมควรที่จะรู้ถึงประวัติ การจัดงานเมาลิดพอสังเขป
การจัดงานเมาลิดนบี เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในโลกที่ประเทศอียิปต์ เมื่อปี ฮ.ศ. 362  ซึ่งขณะนั้นวงศ์ฟาตีมียฺ ซีอะฮฺ อิสมาอีลียะฮฺ เป็นผู้ปกครองอียิปต์ และได้สถาปนาอาณาจักรฟาตีมียขึ้น ผู้ปกครองขณะนั้นได้แก่ คลลีฟะฮฺ อัลมุอิชลิดีนิลลาฮฺ อัลฟาตีมีย
     บรรยากาศของงานเมาลิดสมัยนั้น เต็มไปด้วยความครึกครื้น มีการประดับประดาสถานที่ต่างๆ ด้วยแสงสี มีการชุมนุมกัน และอ่านอัลกรุอ่านที่มัสญิด อ่านโคลง กลอน บทสุดดี และชีวประวัติของท่านนบี โดยผู้ที่มีเสียงดี พร้อมกันนั้น ก็มีการจัดสถานที่สำหรับแจกจ่ายทานบริจาคแก่ผู้ที่ยากจนขัดสน ในระยะหลังๆ มานี้ ไม่มีการจัดงานเมาลิดอย่างเอิกเริกเช่นก่อน นอกจากการจัดของชาวฎอริกัต เมื่อถึงวันที่ 12  รอบีอุลเอาวัล รัฐบาลประกาศให้หยุดราชการ 1 วัน ภายหลังเวลามักริบ หรือ อีชาอฺ ก็จะมีอีมานประจำมัสญิดต่างๆ หรืออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแสดงปาฐกถา เกี่ยวกับชีวประวัติของท่าน มีปีหนึ่งทางการได้จัดงานรำลึกถึงเกียรติประวัติของ อัลบูซีรียฺ ผู้ประพันธ์บทกลอน “อัลบุรดะฮฺ” ซึ่งบรรยายถึงประวัติของท่านนบี โดยได้จัดให้ศิลปินผู้มีน้ำเสียงดีอ่านคำกลอนบุรดะฮฺ เป็นท่วงทำนอง เคล้ากับเสียงดนตรี
แหล่งอ้างอิง  มุนีร สมศักดิ์ มูหะหมัด. (2548) .วันและเดือนที่สำคัญในอิสลาม. กรุงเทพฯ:สมาคมนักเรียนเก่าศาสนวิทยา.

ประวัติความเป็นมาการทำฮัจญ์

ประวัติความเป็นมาการทำฮัจญ์
     ในยุคที่มีความขัดแย้ง ความเหลวแหลก และไร้ซึ่งสัจธรรมในกลุ่มอาหรับ อัลลอฮ์จึงได้ส่ง
ท่านศาสดามูฮัมหมัดมายังกลุ่มชนนี้โดยสั่งใช้ให้ท่านศาสดาประสานหัวใจของพวกเขา และทำให้พวกเขา เป็นประชาชาติเดียวกันด้วยการยึดมั่น และศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว มีคำปฏิญาณคำเดียวกัน และการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเดียวกัน ด้วยหลักพื้นฐานของการสร้างสัมพันธไมตรีต่อกันระหว่างกลุ่มต่างๆ อัลลอฮ์จึงบัญญัติแก่ประชาติมูฮัมหมัดให้จัดทำศาสนกิจที่ร่วมกันด้วยการ ละหมาดญะมาอะห์ ละหมาดญุมอัต ละหมาดดีด การประกอบพิธีฮัจญ์ร่วมกัน และศาสนกิจอื่นๆ เพื่อเป็นการประสาน สัมพันธไมตรี ประสานหัวใจของประชาชาติมุสลิมให้เป็นหนึ่งเดียว การประกอบพิธีฮัจญ์ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างมิตรภาพระหว่างมุสลิมทั่วโลก โดยการที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างถิ่นฐาน ต่างวัฒนธรรม ต่างมารวมตัวกันและใช้ชีวิตในช่วงเวลาสั้นๆ ร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ โดยมีเป้าหมาย เดียวกัน เ มื่อมนุษย์ชาติต่างได้ยินการเรียกร้องแห่งพระเจ้าให้มาร่วมตัวกันยังจุดนัดหมาย อันเป็นจุดศูนย์กลางของโลก แม้ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากเพียงใด ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าแล้ว พวกเขาก็ไม่หวั่นที่จะเดินทาง มายังบัยติ้ลลอฮิ้ลฮารอมการบำเพ็ญหัจญ์นั้นไม่ได้ถูกเริ่มในสมัยของท่าน ศาสดามูฮัมหมัด แต่มันได้ถูกเริ่มมาตั้งแต่สมัยท่านศาสนาอิบรอฮีม ด้วยกับหัวใจของประชาชาติยุคก่อน อิสลาม ที่ถูกเปลี่ยนสีไปพร้อมกับกาลเวลา จึงทำให้ศาสนาที่ถูกประทานลงมายังศาสดาอิบรอฮีม มีการบิดเบือนและขัดต่อ บัญญัติแห่งอัลลอฮ์ แน่นอนอาหรับในยุคญาฮิลียะห์ได้เข้าร่วมประกอบพิธีฮัจญ์ซึ่ง มีสิ่งที่ขัดต่อบัญญัติของศาสดาอิบรอฮีม ปนอยู่มากมาย เมื่อยุคอิสลามได้มาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จึงเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ถูกเรียกว่าศาสนาอันเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักการก็ได้ถูกขจัดออกไปในเรื่องของพิธีฮัจญ์ และศาสนกิจอื่นๆ และเป็นเรื่องที่ได้รับการยืนยันจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ว่าศาสนาอิสลามนั้นเป็นศาสนา ที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางที่สืบทอดมาจากศาสดาอิบรอฮีม

การประกอบพิธีฮัจญ์ที่ มักกะห์ 
      อัลลอฮ์ทรงเลือกให้มักกะห์และบริเวณรอบมักกะห์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฮัจญ์ เนื่องด้วยกะบะห์ซึ่ง ตั้งอยู่ใจกลางมักกะห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพื้นโลกเป็นใจกลางของทุกทวีป ซึ่งสะดวกแก่มนุษย์ชาติ ที่จะเดินทางมา และแน่นอนกะบะห์เป็นมัสยิดแห่งแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้น อีกทั้งยังเป็นสถานที่ทาง ประวัติศาสตร์ ของบรรดาศาสดารุ่นก่อนๆ

วันอาซูรอ

อาชูรออ์
     อาชูรออ์ แปลว่า วันที่ 10 เป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิมามฮุเซนบิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในสงคราม อัฏฏ็อฟ ในอิรัก เมื่อวันที่ 10 มุฮัรรอม ฮ.ศ. 61 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 680 มุสลิมในประเทศไทย มีการทำอาหารชนิดหนึ่งเรียกว่า บูโบร์อาชูรอ เป็นคำในภาษา
มลายูปาตานี - กลันตัน เป็นชื่อขนมกวนชนิดหนึ่ง เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า บูบูรอาชูรออ์ ในภาษามลายูมาตรฐานที่แปลว่า ขนมกวนวันที่สิบนั่นเอง อาชูรออ์ เป็นคำที่ยืมจากภาษาอาหรับอาชูรออ์ แปลว่าวันที่ 10 ซึ่งในอิสลามหมายถึงวันที่ 10 แห่งเดือน มุฮัรรอม แห่งปฏิทินอิสลาม ชาวมลายูในภาคใต้
จะมีการทำบุญร่วมกัน โดยการทำขนมที่มีชื่อว่า บูโบซูรอ วิธีการทำก็คือ โดยการ กวนข้าว น้ำตาล
มะพร้าว กล้วย ผลไม้อื่นๆ และวัตถุดิบต่างๆ ที่ชาวบ้านนำมา เอามาผสมกันในกะทะใหญ่ และช่วยกัน
กวนคนละไม้คนละมือ จนกระทั่งทุกอย่างเละจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีการปรุงรส ให้มีรสชาติหวาน ตัดด้วยรสเค็มนิดหน่อย จนกระทั่งว่า ได้ที่แล้วจึงตักใส่ถาดรอให้ขนมเย็นเอาไปเลี้ยงคน หรืออาจจะเก็บ ไว้กินวันต่อไปก็จะมีรสชาติอร่อยไปอีกแบบ ผู้รู้เชื่อว่าประเพณีการกวนขนมในวันนี้ เป็นประเพณีของชีอะหฺ แม้ว่า จะมีการอ้างว่ารำลึกถึงเหตุการณ์อื่นๆ ก็ตาม มุสลิมซุนนีย์บางพวกจะถือศีลอดงดอาหารในวันอาชูรออ์

 การกวนขนมอาซูรออ์

โอ้มุสลีมะห์เอ๋ย เป็นดั่งนี้เถิดครับ


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته

ภรรยาที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ รักอัลลอฮฺยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด มากกว่าใคร ใคร ในโลก มากกว่าบิดา มารดา มากกว่าสามี และลูกๆ ภรรยาที่รักท่านร่อซูล(ซ.ล) ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่าน เจริญรอยตามวิถีชีวิตของบรรดาอุมมะฮาต อัล-มุอฺมินีน "มารดาแห่งเหล่าศรัทธาชน" ภรรยาที่รักชีวิตครอบครัว มีความเป็นกุลสตรี ต้องการเป็นแม่บ้านที่ดี ด้วยเหตุที่เธอรู้ว่า.....นั่นคือการญิฮาดของเธอ ภรรยาที่ศึกษาอัล-กุรอาน และใช้ชีวิตไปตามครรลลองของอัลกุรอาน เพื่อที่เธอจะได้เป็นแม่บ้านที่ดี เป็นที่สุขตาสุขใจของฉัน ตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะฉันรู้ดีว่า อัลกุรอาน จะขัดเกลาให้เธอ เป็น หญิงที่ประเสริฐ เป็น ภรรยาที่น่ารัก เป็นแม่ที่รู้จักการเลี้ยงลูก เป็นผู้ผูกสายสัมพันธ์ของครอบครัว เธอรู้ไหม? ว่า....ท่านร่อซูล(ซ.ล) กล่าวถึงพวกเธอไว้อย่างไร



ท่านบอกว่า... "ดุนยาล้วนเต็มไปด้วยความสุขสันต์ แต่สุดยอดของความสุขสันต์บนโลกดุนยานี้คือ....ภรรยาที่ดี



ใช่แล้ว....ภรรยาที่ดี คือความใฝ่ฝันของชายผู้ศรัทธาทุกคน คือเจตจำนงของอัล-อิสลาม ภรรยาที่มอบสิทธิการเป็นผู้นำให้กับสามี เพื่อการจัดวางระบบครอบครัวให้มีระเบียบ มีผู้นำ มีผู้ตาม อัลลอฮฺ(ซ.บ) ทรงตรัสว่า: "บรรดาชายนั้นคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขา เหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไป จากทรัพย์สินของพวกเขา" (อัลกุรอาน 4:34) และท่านร่อซูล(ซ.ล) ยังได้กล่าวอีกว่า "เพียงแค่นางละหมาดครบห้าเวลา ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน รักษาพรหมจรรย์ของนาง และเชื่อฟังสามีของนาง นางจะเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ ตามที่นางต้องการ" (ศอเหี้ยะ)



ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหม การที่เธอจะได้เป็นหนึ่งจากชาวสวรรค์ จงภูมิใจเถิดที่เธอจะได้เป็นผู้ทวนกระแส ในวจนะที่กล่าวว่า "ในนรกจะมีสตรีมากกว่าบุรุษ"



การเป็นภรรยา สตรีทุกคนทำได้ แต่การเป็นภรรยาที่ดี.. สตรีผู้ศรัทธาเท่านั้น ที่จะทำได้ เพราะเธอมีอัลกุรอาน และหะดีษ เป็นธรรมนูญ เธอจึงเป็น ภรรยาที่ สามีมองแล้วเย็นตาเย็นใจ ฟังเสียงแล้วรื่นรมย์ ได้กลิ่นแล้วหอมหวาน สัมผัสแล้วอ่อนโยน คิดถึงแล้วสุขใจ เธอจึงเป็นภรรยาที่ทำให้สามีรู้สึกว่า ตัวเองคือผู้มีความสุขที่สุดในโลก



อิสลามสอนให้สามีต้องเป็นคน "ขี้หึง" เปล่า..ไม่ใช่หึงหวงแบบไร้เหตุผล หรือตามอารมณ์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่มันคือความหึง....หวง....และห่วงใย ยอมไม่ได้ที่เธอจะผิดหลักการ



ดังนั้นเธอจงละหมาดครบ 5 เวลา ขอเธอจงคลุมฮิญาบ ขอเธอจงอย่าสนทนาหรือให้คนแปลกหน้าเข้ามาบ้าน ขอเธอจงอย่าออกนอกบ้านโดยที่สามีไม่รู้ ขอเธอจงอย่าเอ่ยถึงชายอื่นต่อหน้าสามี ขอเธอจงอย่าแต่งตัวสวยนอกจากเพื่อฉันเท่านั้น โปรดอย่าได้ตำหนิว่าฉันขอมากไป หรือบังคับเข้มงวด เพราะถ้าฉันไม่ขอร้องเธออย่างนี้ ก็หมายความว่า ฉันไม่หึงหวงและห่วงใยเธอ เธอ...จะมาเป็นคู่ชีวิตของฉัน คู่ชีวิตที่หมายถึงผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข



ขอให้เธอเป็นคนแรกที่จะยินดีในความสำเร็จของฉัน และเป็นคนแรกที่จะเสียใจในความล้มเหลวของฉัน เป็นคนเดียวที่ยืนเคียงข้างฉัน ยามที่ฉันเผชิญกับปัญหา "นี่แหล่ะคู่ชีวิต"ฉันพยายามเต็มที่ในการสร้างฐานของครอบครัว ขอเพียงกำลังใจจากเธอ ขอเธอจงอดทนในยามที่ฉันยากจน และขอเธอมัธยัสถ์ในยามที่ฉันมั่งมี แล้วเธอจะเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ



ก่อนที่ฉันจะเลือกเธอเป็นคู่แต่งงาน ฉันไม่ได้มองแค่ให้เธอมาเป็นภรรยา แต่ฉันมองหา "แม่ของลูก" เพราะเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่การสร้างครอบครัว แต่ฉันมีความมุ่งหมายจะสร้างสังคม สร้างประชาชาติอันดียิ่งให้กับท่านนบีมูฮัมมัด



ดังนั้น สมาชิกของประชาชาติอิสลาม ต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดีงาม และเธอคือแหล่งกำเนิดที่ฉันได้เลือกสรรแล้ว ฉันจึงฝากฝังให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลานที่ดี ช่วยฉันในการอบรมดูแลพวกเขา แน่นอนเธออาจจะต้องผูกพันใกล้ชิดพวกเขามากกว่าฉัน เธอจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ในกิจการอันยิ่งใหญ่นี้



ดังนั้นเธอจงช่วยฉันทำให้เขาเป็นคนดีของพระองค์ ไม่ตั้งภาคี...ดำรงการละหมาด...อดทน..ไม่เย่อหยิ่ง แล้วเราจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ ณ พระองค์ ในวันแห่งการตอบแทน เราไม่ได้แต่งงานกันเพื่อที่อยู่กันเพียงสองคน แต่เราแต่งงานกันเพื่อก่อให้เกิดคำว่า "เครือญาติ" เพื่อสร้างความเกี่ยวดอง ความเป็นพี่น้อง และความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชาติ



ดังนั้น เมื่อคนสองคนแต่งงาน จะมีคนอีกอย่างน้อยสองตระกูลมาเกี่ยวพันกัน นี่คือผลงานชิ้นแรกที่คู่แต่งงานได้ช่วยกันสร้างขึ้น สิ่งที่ทั้งสองต้องทำต่อไปคือ ดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์นี้ ด้วยการให้เกียรติเครือญาติของกันและกัน เพราะเครือญาติมีส่วนสำคัญมากมาย ในการที่จะทำให้คู่ของทั้งสองคนดำรงอยู่ต่อไป หรือ..... ล่มสลาย เพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต อะไรที่เธอปรารถนา มันคือสิ่งที่ฉันปรารถนาเช่นกัน อะไรที่รู้สึก มันก็คือความรู้สึกของฉัน เราจะดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งความรู้สึกของร่างกาย และความปรารถนาของหัวใจ สิ่งใดที่เธอสุขใจ ฉันจะขวนขวายทำมันให้เต็มที่ สิ่งใดที่เธอไม่พอใจ ฉันจะหลบลี้หนีห่าง ขอเพียงเธอเอาใจใส่ความรู้สึกของฉัน ให้เกียรติฉัน ทั้งที่ลับและที่แจ้ง



ให้เธอเป็นนำเย็น ยามที่ฉันเป็นไฟ และฉันก็เช่นกัน จะเป็นน้ำเย็นยามที่เธอเป็นไฟ

เรื่องคาวๆๆหมอมุสลีมะฮ์คนดังแห่ง รพ.รามัน

มีเรื่องคาวๆใต้สะดือ.ของหมอมุสลีมะฮ อัส..แห่ง รพ.รามัน..ดังมาก.ตั้งแต่ปีที่แล้ว..รู้ทั้งสสจ.ยะลา ปัตตานี..แต่หล่อนก็ยังทำหน้าซื่อ ยังทำเคร่ง..ทำอย่างกับว่า ไม่มีใครรู้ เรื่องของของ...ถ้า ไม่ไปโกหก..ผอ รพ.รามัน ไม่ไปแจ้งตำรวจ เรื่องของหล่อนคงไม่มีใครรู้..ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า..หล่อนได้คบหากับผู้ชายคนหนึ่งมาหลายปี..ตั้งแต่สมัยเรียนแพทย์ ที่ มหิดล..ตั้งแต่ปี 45 โน่น เลย..และข่าวที่ยืนยันได้..หล่อนเคยไปนอนค้างที่ห้องผู้ชาย..หลายครั้ง..เพระรุ่นน้อง เห็นทั้งนั้น..ไม่ได้หายตัวไป..ไม่นับที่ผู้ชายไปหาที่ โคราชตอนที่ฝึกงาน..สรุปคือ หล่อนอยู่กับมีความสัมพันธ์ฉันผัวเมีย ตั้งแตเรียนปี 3...และที่ รพ.รามัน...รพ.ยะลา ผู้ชายก็มาหาและค้างคืนด้วยหลายครั้งมากๆๆๆคนเห็นทั้ง โรงบาล...ทั้งที่หล่อนคลุมอย่างเรียบร้อยนะ..แต่มีบางกระแส..ว่าหล่อนแอบไปนีกะฮ...มาแล้ว.แต่เรื่องที่ทำให้คนงง คือหล่อนมาใช้ทุนที่ รพ.รามันอีกครั้ง กลางปี 50 ก็มาคั่วเอากับคนใหม่ ทั้งที่กับคนเก่า ก็คบฉันผัวเมียอยู่..พอแฟนตัวจริงมาหา ที่ รพ.รามัน หมอ อ. ก็ไปฟ้อง โกหก ผอ. โดยรวมหัวกับ ชู้ใม่ ว่ามีคนจะมาทำร้ายเป็นโจร ไม่รู้จักมาก่อน แถมไปโกหก ตำรวจว่าไม่เคยเป็นอะไร จนรุ่นน้องที่ จบ จากมหิดล ก็ยัง งเลยว่า ทำหมอมุสลีมะฮท่านนี้..ทั้งดูที่ภายนอกเคร่ง..อย่างแรง..แค่คนเดียวแต่มีความอะไรกัน..โดยที่ยังไม่ได้นีกะฮ ก็ผิดอย่างแรงแล้ว..นี่..ล่อเอาอีกคนอีก ถ้าไม่คลุมไม่ละหมาดเลยไม่แปลก แต่นี่ ภายนอกคลุมอย่างดี..เคร่งศาสนาอย่างมากๆๆๆ ถ้าท่านอยากรู้ชื่อ ลองพิม หมออัส รพ.รามัน ใน Google. ข้อมูล จะขึ้นเพียบเลย ขอบอก...สังคมเดี๋ยวดูเคร่ง ภายนอก ก้เชื่อไม่ได้หรอก ไม่ว่า จะเป็นหมอ หรือเป็นอะไร ก็ตามๆๆๆ